ตอบคำถามอาจารย์คอลิด ปานตระกูล


ความจริงเราได้ชี้แจงข้อความของอาจารย์คอลิดปาน ตระกูลไปก่อนหน้านี้แล้วดังนี้

ตอนที่ 1
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=343042089230478&id=100005740689770
ตอนที่ 2
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=345884212279599&id=100005740689770
ตอนที่ 3
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=346741902193830&id=100005740689770
ตอนที่ 4
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=347285445472809&id=100005740689770

แต่ดูเหมือนอาจารย์คอลิด จะไม่เข้าใจหรือพยายามที่จะไม่เข้าใจอะไรเลย เราเห็นใจในความพยายามของท่านที่จะทำให้เราตกเป็นจำเลยของสังคม ด้วยข้อหาที่ท่านคิดการณ์เอาเอง

มีผู้โพ้สข้อความของอาจารย์คอลิดมาให้เราดูดังนี้

“อิจมาอ์คืออิจมาอ์ อย่าบิดพริ้ว ตอนที่ 3
อาจารย์ฟาริดมักอ้างว่าผู้ที่ยึดมั่นตามแนวทางสะลัฟต้องเป็นอย่างนั้นอย่าง นี้ อาจารย์พูดเพื่อสร้างภาพให้ตัวเองดูดีเท่านั้นเอง ซึ่งผมอยากจะให้อาจารย์ตรวจดูตัวเองก่อนดีใหม ? อาจารย์ฟาริดเริ่มพูดคำว่าสะลัฟจนติดปาก หรือเผยแพร่ตามแนวทางสะลัฟตั้งแต่เมื่อใหร่? ผมเข้าใจว่าหลังจากที่แยกทางกับพวกอิควานซึ่งที่เป็นที่โจษขานในสังคมยาม นั้น แต่ดูเหมือนที่พยายามพูดคำว่าสะลัฟๆอยู่บ่อยครั้งในยามนี้ คงเพื่อชดเชยห้วงเวลาแห่งอดีตที่ขาดหายไปหรืออย่างไร ?”

เราอ่านข้อความข้างต้นนี้ด้วยความอดสู เราจึงได้ตอบเขาไปว่า

“อัลลอฮ์ !!! เขาจดลิขสิทธ์คำว่าสะลัฟไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่
พอใครอ้างสะลัฟเขาจึงโวยวาย
เราสอนมาแต่ไหนแต่ไรว่า ให้ยึดอัลกุรอานและฮะดีษบนความเข้าใจของศอฮาบะห์
หรือใครจะอ้างตนว่ามีสิทธิสอนแต่เพียงผู้เดียวก็เอาเถอะ เราไม่อยากวุ่นวาย”

นี่คือคำชี้แจงของเราในเบื้องตนบนความสลดหดหู่ แต่เราไม่บังอาจตำหนิท่าน หากท่านรักและหวงแหนคำว่าสะลัฟจริง และเราจะยินดีมากกว่านี้หากท่านยึดแนวทางและวิถีทางอย่างชาวสะลัฟอย่างจริง จัง ไม่ว่าจะเป็นอะกีดะห์ มันฮัจ วิธีการ กริยามารยาท เยี่ยงชาวสะลัฟ และจะเป็นต้นแบบให้ชาวบ้านและลูกศิษย์ลูกหาได้แลเห็น

และเราเองก็ละอายปากเหลือเกินที่จะกล่าวว่าเราคือ สะละฟี่ย์ ขณะที่เราไม่ได้กระผีกของพวกเขา และหากท่านจะกีดกันเราไม่ให้เป็นผู้หนึ่งในการประกาศแนวทางสะลัฟก็เชิญเถิด เพราะเราสอนศาสนาเพื่อหวังความโปรดปรานจากอัลลอฮ์ มิได้มุ่งหวังว่า จะได้พวกพ้องหรือคำสรรเสริญเยินยอ หรือเพื่อต้องการเป็นหนึ่งในยุทธภพ เราไม่ขอเข้าสู่สังเวียนเพื่อเรื่องเหลวไหลเหล่านี้

ถึงแม้ว่าท่านจะบอกว่าเราไม่ใช่ผู้ที่ยึดแนวทางของชาวสะลัฟ แต่เราก็ยังคงยืนหยัดอย่างเสมอต้นเสมอปลายว่า “กิตาบุ้ลลอฮ์และซุนนะห์ตามความเข้าใจของเหล่าศอฮาบะห์” หรือท่านจะกล่าวว่า บรรดาศอฮาบะห์ไม่ใช่สะลัฟหรืออย่างไรกัน

หากผู้รู้ในสังคมของเราคิดอ่านกันอย่างนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้า

คำพูดของท่านที่ว่า “แล้วนี่หรือแนวทางสะลัฟ เมื่อมีคนเอาหะดีส อิจมาอ มาเสนอ อาจารย์กลับบ่ายเบี่ยงเหมือนอึดอัดที่จะรับ คนที่ยึดแนวทางสะลัฟเมื่อปรากฏหะดีส อิจมาอ อย่างน้อยต้องหยุดพิจารณาก่อน ถ้าถูกต้องก็ยอมรับในตัวบทและประกาศเลิกในความผิดเสียเหมือนที่แนวทางปราชญ์ ชาวสะลัฟเขายึดถือปฏิบัติกัน ไม่ใช่กระโจนออกมาตอบโต้แบบไม่ลืมหูลืมตา ไม่ได้ศึกษาให้ละเอียด จนออกฮุก่มสะเปะสะปะ ไร้ทิศทาง ยกคำพูดอุละมาอมาสวมโดยไม่ดูบริบทว่าตรงกับข้ออ้างหรือไม่ อย่างไร ? แค่เรื่องโต๊ะจีนแค่นี้เรายังมองฮุก่มไม่ออก เรื่องที่ใหญ่โตกว่านี้อีกมากมายเราจะใว้ใจได้อยางไร จะประกาศปฏิเสธอิจมาอก็ไม่ได้เพราะกลัวจะตกศาสนา เลยคิดหาทางออกโดยการสร้างความสงสัยในเรื่องอิจมาอ บอกว่ามันเป็นอิจมาอ์ที่ไม่ใช่อิจมาอ์นั่นเอง ซึ่งมีเด็กๆนักศึกษาหลายคนออกมาพูดเรื่องอิจมาอ วิจารย์กันอย่างเมามันส์ ทั้งที่เป็นเรื่องใหญ่ที่คนระดับปราชญ์เขายังกลัว ระมัดระวังที่จะพูดโดยปราซจากความรู้ นี่เป็นการสร้างแนวทางที่ไม่ถูกต้องให้นักเรียนนักศึกษา ซึ่งในอนาคตบอกได้เลยว่านี่คือผลร้ายอันใหญาหลวงต่ออิสลาม”

ที่จริงแล้วชาวสะลัฟนั้น เขาจะละเอียดรอบคอบในการวินิจฉัยปัญหาใดๆ และเขาจะรอบคอบในการให้ข้อหาผู้อื่น และการให้ข้อหาผู้อื่นว่า สวนอิจมาอ์ หรือปฏิเสธอิจมาอ์เท่ากับเป็นการตักฟีร ให้ข้อหาผู้อื่นว่าเป็นกาเฟร ดังนั้นถ้าเป็นแนวทางของชาวสะลัฟเขาจะละเอียดรอบคอบไม่บู่มบ่าม

ท่านจะให้เรากระโดดรับอิจมาอ์ที่ท่านอ้างมาโดยทันที ทั้งๆที่ท่านเข้าใจเรื่องผิดและเอาอิจมาอ์มาอ้างผิดกระนั้นหรือ และการยอมรับทั้งถูกและผิดไม่ใช่วิถีของชาวสะลัฟแน่นอน

เกี่ยวกับเรื่องอิจมาอ์ของอิบนุลมุนซิร ที่ท่านนำมาเป็นหลักฐานฮุก่มในเรื่องโต๊ะจีนที่ว่า

6 وَقَالَ ابْنُ الْمُنْذِرِ: أَجْمَعَ أَهْلُ الْعِلْمِ عَلَى أَنَّ مَنْ اشْتَرَى طَعَامًا فَلَيْسَ لَهُ أَنْ يَبِيعَهُ حَتَّى يَسْتَوْفِيَهُ،- وَلَوْ دَخَلَ فِي ضَمَانِ الْمُشْتَرِي جَازَ لَهُ بَيْعُهُ وَالتَّصَرُّفُ فِيهِ، كَمَا بَعْدَ الْقَبْضِ

" นักวิชาการต่างมีมติเอกฉันท์ว่า ผู้ใดก็ตามซื้ออาหารมา เขาจะนำอาหารนั้นไปขายต่อไม่ได้ จนกว่าจะได้อาหารนั้นมาอย่างครบถ้วนก่อน และหากอาหารนั้นมาอยู่ในความรับผิดชอบของผู้ซื้อแล้ว จึงจะสามารถนำไปขายได้หรือจัดการใดๆ ได้ เฉกเช่นหลังการครอบครอง" ( อัลมุฆนี ของอิบนุกุดามะห์ เล่ม 4 หน้า 83 – อัลมักตะบะห์ อัชชามิละห์)

เราคงจะไม่ต้องเสียเวลาชี้แจงกันหลายรอบ เพราะเราเองก็ยืนยันว่ายอมรับถ้อยคำอิจมาอ์นี้ มิหน้าซ้ำเรายังยกประโยชน์ให้ด้วยว่าเป็น อิจมาอ์ก๊อฏอีย์ หรืออิจมาอ์ขั้นเด็ดขาด ดังนั้นเราจึงไม่ได้แย้งอิจมาอ์ แต่เราแย้งการเข้าใจผิดในปัญหาของท่าน และการนำอาจมาอ์มาอ้างผิดเรื่องผิดประเด็นตามที่ท่านได้กระทำ

เรายืนยันอีกครั้งว่า เราน้อมรับหลักฐานทางศาสนาไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด แต่สิ่งที่เราปฏิเสธอยู่นี้คือการวินิจฉัยของท่านและคณะที่เรากล่าวว่า ท่านเข้าใจปัญหาผิดและนำหลักฐานมาอ้างผิดเช่น

1 - โต๊ะจีนคือธุรกรรม 3 ฝ่ายเป็นสมมติฐานที่ผิด เพราะไม่มีการจัดโต๊ะจีนไม่ว่าจะเป็นในหมู่มุสลิมหรือกาเฟรที่เขาทำโต๊ะจีน 3 ฝ่ายเหมือนอย่างที่ท่านและคณะได้กล่าวเลย

2 – หลักฐานจากฮะดีษและอิจมาอ์ ที่ท่านนำมาอ้าง คือหลักฐานที่กล่าวถึงเรื่อง การซื้ออาหารมาแล้วนำไปขายต่อ แต่การจัดโต๊ะจีนนั้นไม่ใช่การซื้อหารอาหารมา แต่เป็นการสั่งทำอาหาร และทั้งสองอย่างนี้มีองค์ประกอบ เงื่อนไขและฮุก่มที่แตกต่างกัน ดังนั้นเราจึงกล่าวว่า ท่านเอาหลักฐานมาอ้างผิดเรื่องผิดประเด็น

3 – การนำเอาบัตรโต๊ะจีนไปเปรียบ กับซิก๊าก ซึ่งเป็นเอกสารที่ทางการมอบให้แก่ประชาชนแบบให้เปล่า อิหม่ามนะวาวีชี้แจงว่า มัซฮับชาฟีอีอนุญาตให้มือแรกขายได้แต่ไม่อนุญาตให้ขายตกทอด มุบาร๊อกฟูรีกล่าวว่า ประชาชนรีบร้อนเอาไปขายตกทอดต่อๆกันและมันคือดอกเบี้ย แต่บัตรโต๊ะจีนไม่ใช่เอกสารทางการ ไม่ใช่การให้เปล่า ไม่มีการขายตกทอดต่อๆกัน

อย่างนี้แหละที่เรากล่าวว่า เราไม่ได้ปฏิเสธหลักฐานที่ท่านแสดง แต่เราปฏิเสธความเข้าใจในปัญหาของท่านซึ่งเราเชื่อว่าท่านเข้าใจข้อเท็จจริง ของปัญหาผิด และนำหลักฐานมาอ้างอิงผิดเรื่องผิดประเด็น

แต่คำทักท้วงของเรานี้ท่านกลับไม่พิจารณา ท่านยังคงนิ่งเฉยกับคำทักท้วงของเราอย่างเสมอต้นเสมอปลาย อีกทั้งพยายามยัดเยียดให้เราเป็นผู้ที่ปฏิเสธหลักฐานอยู่ร่ำไป

ดังนั้นท่านอย่าได้กล่าวหาเราว่า เป็นผู้ปฏิเสธหลักฐาน แต่เรากล่าวว่า ท่านต่างหากที่เข้าใจปัญหาผิดและเอาหลักฐานมาชี้ผิด และนั่นเท่ากับท่านเปลี่ยนฮุก่มฮะล้าลให้กลายเป็นฮะรอม นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่ควรวางเฉย ท่านจะไม่พิจารณาคำท้วงติงของเราสักหน่อยหรือ

และคำพูดของท่านที่ว่า “เมื่ออาจารย์ดีสเครดิตผู้รายงานอิจมาออาวุโส 2 ท่านคือ อิบนุลมุนซิร กับอิบนุกุดามะฮ ปัญหาคือท่านอาจารย์จะทำอย่างไรกับอิมามอิบนุตัยมียะฮ์ อิมามอิบนุอับอิลบัร อิมามอันนะวะวีย์ อิมามอิบนุรุซด อัลมาลิกีย์ อาจารย์จะกล้าบอกหรือว่าบุคคลเหล่านี้เชื่อถือไม่ได้หรือมีข้อบกพร่องในการ ตรวจสอบอิจมาอ์กระนั้นหรือ?”

ฮะดีษคือหลักฐานที่เรียกว่า “ดะลีลุสศ็อนนี้” คือต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบให้มั่นใจในสถานะก่อนที่จะนำเอามาเป็นหลักฐาน

และหากมีผู้กล่าวว่าเรื่องหนึ่งเรื่องใดเป็นอิจมาอ์ ท่านจะไม่ตรวจสอบก่อนนำมากล่าวอ้างเลยหรือ, หรือเขาว่าเป็นอิจมาอ์ก็เชื่อได้เลยโดยไม่ต้องตรวจสอบ ถ้าเช่นนั้นกล่าวอ้างของอิบนุกุดามะห์ว่า การอ่านอัลกุรอานอุทิศผลบุญให้คนตายเป็นอิจมาอ์ของประชาชาติอิสลามทุกยุคทุก สมัยดังนี้

อิบนุกุดามะห์ได้กล่าวว่า

لأنه إجماع المسلمين، فإنهم في كل عصر ومصر يجتمعون ويقرأون القرآن ويهدون ثوابه إلى موتاهم من غير نكير

“เนื่องจากเป็นมติเอกฉันท์ของบรรดามุสลิม โดยที่พวกเขาในแต่ละยุคแต่ละถิ่นต่างก็รวมตัวกันอ่านอัลกุรอานแล้วอุทิศผล บุญของการอ่านให้แก่ผู้ตายโดยที่ไม่มีข้อรังเกียจแต่อย่างใด” อัลมุฆนี ของ อิบนิกุดามะห์ ญุซที่ 2 หน้าที่ 568

ท่านจะว่าอย่างไรกับการกล่าวอ้างอิจมาอ์ของอิบนุกุดามะห์ข้างต้นนี้
หากท่านยอมรับ ท่านก็ต้องเปลี่ยนจุดยืน สอนลูกศิษย์ลูกหากันใหม่
ถ้าท่านปฏิเสธ ท่านก็เท่ากับท่านปฏิเสธอิจมาอ์ดั่งที่ท่านกล่าวมิใช่หรือ

แต่เราปฏิเสธข้อความนี้ว่าไม่ใช่อิจมาอ์ เพราะเป็นคิลาฟในระดับมัซฮับ

ความจริงแล้วเรื่องการตรวจสอบและคัดต้านอิจมาอ์ตามการกล่าวอ้างนี้ บรรดานักวิชาการเขาโต้แย้งและบางท่านก็เขียนเป็นตำราไว้เลย อย่างเช่นท่านอิบนุตัยมียะห์ได้เขียนตำราในการตรวจสอบและคัดค้านอิจามาอ์ของ อิบนุฮัซมิน หรือเราจะกล่าวว่า อิบนุตัยมียะห์ได้ดีสเครดิตอิบนุฮัซมิน

นี่ไม่ใช่เรื่องของการดิสเครดิตแต่เป็นการชี้แจงข้อมูลทางวิชาการ

อีกกรณีหนึ่งที่ท่านนำมาอ้างในเรื่องการแปลความหมายฮะดีษ بيع الحصاة ซึ่งมีผู้แสดงตนคัดต้านคำแปลของเราสองคนต่างกรรมต่างวาระกัน คนหนึ่งใช้ชื่อในเฟสว่า Ali Baraka อีกคนหนึ่งชื่อว่า Khalid Pantrakul

เรื่องการให้ความหมายข้อความข้างต้นนี้เรายอมรับว่ามันคือข้อผิดพลาด ซึ่งเป็นปกติวิสัยของมนุษย์ และเราก็ประกาศแก้ไขความหมายแล้วดังนี้

ประกาศ
เรื่องแก้ไขคำแปลฮะดีษ

อบีฮุรอยเราะห์ รายงานว่า

نَهَى رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَنْ بَيْعِ الحَصَاةِ وَعَنْ بَيْعِ الْغَرَرِ “

ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ห้ามการซื้อขายสัตว์ที่กำลังล่า และการขายที่มีฆ่อร๊อร” ศอเฮียะห์มุสลิม ฮะดีษเลขที่ 2783
ศอเฮียะห์มุสลิม ฮะดีษเลขที่ 2783
เนื่องจากมีผู้ทักท้วงการแปลความหมายข้างต้น จึงขอแก้ไขคำแปลดังนี้ “ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ห้ามการซื้อขายด้วยการขว้างหิน และการขายที่มีฆ่อร๊อร”
เป้าหมายของคำสั่งห้ามนี้คือความเสี่ยง จากการขว้างทุกชนิด ซึ่งเข้าข่ายการพนัน
....................................

ข้อความนี้ยังปรากฏอยู่ที่หน้าเฟสของเราแต่ท่านทั้งสองนี้กลับไม่ลดลาวาศอกที่จะเอาผิดให้จงได้ หรือว่า ทั้งสองชื่อนี้คือคนเดียวกัน

คำพูดของท่านที่ว่า “ประเด็นสุดท้าย มาถึงวันนี้ อาจารย์ฟาริดยังไม่บอกให้เราทราบว่า ตกลงการซื้อขายโต๊ะจีนที่อาจารย์ทำนั้นตรงกับหลักการใดในอิสลาม? ขอให้อาจารย์ตอบมาตรงๆ ประเด็นเดียวพอไม่ต้องอ้อมค้อม ยืดยาว เพราะที่ผ่านมาดูจะเป็นการหลบเลี่ยง แก้ตัว คล้ายๆจะเป็นการสมมุติฐาน เมื่อไม่ตรงก็เปลี่ยนชื่อเป็นธุรกรรมอื่นๆเรื่อยไป(ร่วมๆ 10 ชื่อ) เช่นนี้เป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนแล้วว่าธุรกรรมที่ท่านทำนั้นขัดกับหลักการ ศาสนาเพราะยังหาไม่เจอว่าตรงกับธุรกรรมใดที่อิสลามอนุญาติ ประกอบกับฝ่ายที่คัดคานเขามีหลักฐานจากหะดีส อิจมาอ คำอธิบายของซ่อฮาบะฮ์และปราชญ์มากมาย ดังนั้นคำอ้างที่ว่าโต๊ะจีนหะล้าลนั้นคงต้องแขวนเอาไว้ก่อนเพราะเป็นเพียง การกล่าวอ้างที่เลื่อนลอย”

เราหวังว่าอาจารย์คอดลิดคงไม่ได้อ่านข้อความของเราทั้งหมด เลยทำให้ท่านมึนงง ที่จริงแล้วเราให้เวลาให้โอกาสเพื่อเตือนสติท่านและคณะด้วยการเขียนรูปแบบ และวิธีการของโต๊ะจีนที่ทำได้ แต่ท่านกลับเหมารวมว่าที่เราเขียนชี้แนะนั้นคือทุกสิ่งที่เราทำ “อัสตัฆฟิร้ลลอฮ์” ทำไมท่านถึงแยกแยะไม่ออกระหว่างสิ่งที่ทำได้กับสิ่งที่ได้ทำ

หากอาจารย์คอดลิดกับคณะยังสาละวนอยู่กับธุรกรรม 3 ฝ่ายที่เป็นเท็จ แล้วอาจารย์จะทราบข้อเท็จจริงของการจัดโต๊ะจีนได้อย่างไร แล้วอาจารย์จะเอาหลักฐานมาออกฮุก่มอย่างถูกต้องได้อย่างไร

มันเป็นเรื่องแปลกที่ เวลาเราเชิญคุยก็ไม่คุย เปิดโอกาสให้ถามก็ไม่ถาม แต่ชอบถามกันลอยลมกลางอากาศ มาถึงวันนี้อาจารย์คอลิดก็ร้องถามอีกว่าทำอย่างไรตรงกับฮุก่มใดในอิสลาม

และมันก็แปลกที่ ถ้าหากไม่เข้าใจว่าเราทำอย่างไร แต่ก็เอาหลักฐานมาฮุก่มฟันธงกันแหลกลาญ

มีแบบอย่างของสะลัฟที่ไหนเล่า ที่ฮุก่มไปก่อนแล้วมาถามทีหลังว่าทำอย่างไร

เราไม่ทราบว่า ท่านต้องการทราบฮุก่มที่แท้จริงของโต๊ะจีน หรือท่านต้องการทราบเพื่อฮุก่มเราให้เป็นผู้ผิดกันแน่ และเมื่อเราพิจารณาจากทั้งสองกรณีนี้โดยดูจากพฤติกรรมคำพูดของท่านมันบ่งบอก ว่า ท่านต้องการทราบในข้อหลัง

ที่จริงแล้ว เราเขียนชี้แนะไว้ในบทความ และเขียนไว้ในหนังสือเรื่องโต๊ะจีนของเราเกี่ยวกับ “อัลมุวาซีย์” หรือสัญญาคู่ขนาน และก็บอกว่ามันเป็นรูปแบบและวิธีการจัดโต๊ะจีนที่แท้จริง แต่ไม่มีผู้ใดจะใส่ใจ ศึกษาค้นคว้า เอาแต่ตัดสินกันบนพื้นฐานความไม่รู้ไม่เข้าใจ ลากเอาอะไรต่อมิอะไรเอาไปยำไปออกฮุก่มกันมั่วไปหมด

ท่านลองเปิดตำราอ่านและค้นคว้าดูซิว่า “อัลมุวาซีย์” คืออะไร
อัลอิสติศนาอ์ อัลมุวาซีย์ เป็นอย่างไร ทำอย่างไร
อัสสะลัม อัลมุวาซีย์ คืออะไร ทำอย่างไร
และจะกระซิบให้ว่า การจำแนกนี้เขาจำแนกฝ่าย ไม่ได้จำแนกตามจำนวนคน

แต่ที่น่าสลดใจอีกก็คือคำพูดของท่านที่ว่า “มีนักศึกษาในระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยอิสลามที่นครม่าดีนะฮ์กล่าวกับผม ว่า ปัญหาเรื่องโต๊ะจีนส่วนหนึ่งคือเราไปเลียนแบบคนกาเฟรมานั่นเอง เอาของเขามาโดยที่ไม่ตรวจสอบในวิธีการของพวกเขา เลยเป็นปัญหา !!! ซุบหานัลลอฮ์ พวกเราลืมประเด็นนี้ไปได้อย่างไร ?”

เราฟังถ้อยคำอย่างนี้แล้วน่าเสียดายในความคิดความอ่านและมุมมองที่คับแคบ เพราะเรื่องการจัดโต๊ะจีนเป็นเรื่องมุอามาลาต ที่ต้องพิจารณาที่หลักฐานห้าม แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว วิธีการหรือรูปแบบของการจัดโต๊ะจีนนี้เรียกว่า อัลมุวาซีย์ หรือสัญญาคู่ขนาน ไม่ใช่เป็นวิธีของกาเฟรหรือไปลอกเลียนแบบกาเฟร แต่ “อัลมุวาซีย์” นี้เป็นวิธีการที่ชาวสะลัฟได้แนะนำไว้ ทำไมท่านไม่ศึกษาให้รอบคอบก่อนที่จะกล่าวถ้อยคำใด เพราะคำพูดของคนที่เป็นครูบาอาจารย์นั้นมีผลต่อประชาชน

เราแนะนำว่า ท่านลดความบูมบ่ามลงบ้าง แล้วฟังสักนิดว่า

ผมกล่าวเตือนหลายครั้งว่า ผู้ที่ฮุก่มว่าโต๊ะจีนฮะรอมนั้นมีเหตุมาจาก เข้าใจข้อเท็จจริงของปัญหาผิดและนำฮุก่มมาวางผิด เช่น สมมติฐานที่เป็นเท็จว่าโต๊ะจีนคือธุรกรรม 3 ฝ่ายดังที่ได้ชี้แจงไว้ในคำตอบที่ 1 และ 6

เราแนะนำเรื่อง “อัลมุวาซีย์” หรือ สัญญาคู่ขนาน หลายต่อหลายครั้งไม่ว่าในบทความ หรือหนังสือที่เราเขียน แม้กระทั่งคำบรรยาย แต่สิ่งที่ได้รับก็คือความเพิกเฉย แล้วก็วิพากษ์วิจารณ์กันบนความไม่รู้ไม่เข้าใจ

ทำไมท่านไม่ละวางสมมติฐานธุรกรรม 3 ฝ่ายที่เป็นเท็จ แล้วหันมาศึกษาธุรกรรม 2 ฝ่าย 2 สัญญา หรือที่เรียกว่า “อัลมุวาซีย์” ดูบ้างเพราะมันคือข้อเท็จจริงของการจัดโต๊ะจีน และการซื้อขายในลักษณะ “อัลมุวาซีย์” นี้เป็นสิ่งที่ชาวสะลัฟได้ชี้แนะ

ท่านประกาศยึดแนวทางของชาวสะลัฟ แต่ไม่สนใจรูปแบบและวิธีการซื้อขายแบบชาวสะลัฟบ้างหรือ

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=354733278061359&id=100005740689770