คำถามที่ 10
ตอบคำถามวันนี้ รวมคำถามกระจุกกระจิกจากข้อสงสัยของหลายท่านไว้ด้วยกัน ซึ่งบางคำถามมีเนื้อหาใกล้เคียงจึงเอามาตอบรวมกันทีเดียว คำถามกระจุกกระจิกเหล่านี้ ถ้าจะไม่ชี้แจง เดี๋ยวก็จะเอาไปเป็นประเด็นกันอีกว่า ถามแล้วไม่ตอบ แต่บางคำถามก็ต้องขอละไว้ด้วยใจจริง เช่นมีพี่น้องบางท่านก๊อปคำกลอนลอยลมมาให้เราวิพากษ์วิจารณ์ อย่างนี้ต้องขอละไว้ เพราะเราเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระ และคำถามที่เรากล่าวว่าเป็นคำถามกระจุกกระจิกที่ถามมามีดังนี้
ข้อที่ 1 เนียตเอากำไร แต่บอกว่าใครจะมาก็มาใครไม่มาก็แล้วไป ถ้าทำอย่างนี้จริง....เจ้งครับ
คำตอบ
ไม่เจ๊งครับ ทั้งหมด 359 โต๊ะ หักค่าใช้จ่ายทั้งหมดหลังจบงานแล้วคงมีรายได้ 600,000 กว่าบาท
คนที่ไม่มีประสบการณ์หรือไม่ได้ทำธุรกิจการค้าก็คงจะประเมินไม่ออกและประมาณ การไม่เป็น แต่คนที่ทำธุรกิจการค้านั้นเขาจะกล้าตัดสินใจและกล้าลงทุน จากการประมาณการความเป็นไปได้
เริ่มแรกเลยเราเจตนาจะจัดแค่ 300 โต๊ะเท่านั้นเพราะพื้นที่ของเรามีจำกัด แต่พี่น้องที่ทราบข่าวต่างก็ขอมาร่วมงานด้วยหลังจากที่ปิดจองบัตรแล้วอีก หลายราย บางคณะเดินทางมาจากต่างจังหวัดไม่ได้แจ้งล่วงหน้าก็มี จนทำให้เราต้องขยายเพิ่มอีก 59 โต๊ะรวมทั้งสิ้น 359 โต๊ะจนแน่นขนัดไม่สามารถขยายเพิ่มได้อีก
ท่านอาจจะสงสัยว่าเราทำได้อย่างไร ทั้งๆที่เราไม่ได้เรียกเก็บค่าจองและค่ามัดจำเป็นหลักประกันเลย มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สมัครใจชำระเงินก่อนงาน แต่ส่วนใหญ่แล้วชำระหน้างาน หากท่านถามว่าแล้วไม่กลัวว่าพวกเขาจะไม่มาร่วมงานหรือ
คำตอบก็คือ เราไม่ได้ทำอาหารขายหรือเร่ขายโดยทั่วไป ที่ใครจะซื้อหรือไม่ซื้อก็ได้ ถ้าทำเช่นนั้นเสี่ยงมากเหมือนดั่งที่กล่าวไว้ในคำถาม แต่วิธีการของเราคือ ออกบัตรเชิญผู้ที่เคารพนับถือ หรือรู้จักมักคุ้นกับเรา และ ในจำนวนแขกของเรา 3,000 กว่าคนนั้น ประกอบด้วย ผู้ใหญ่ที่ให้การสนับสนุน ญาติพี่น้องของบรรดาคณาจารย์ และกรรมการมูลนิธิ, ผู้ที่ให้ความเคารพนับถือกันหรือจะเรียกว่าบรรดาลูกศิษย์ก็ได้ และบรรดาผู้ปกครองของนักเรียนที่เรียนกับเรา บุคคลเหล่านี้คือผู้ที่รู้จักมักคุ้นประหนึ่งว่าพวกเขาเป็นครอบครัวของเรา นี่คือสิ่งที่เรามั่นใจเพราะพวกเขาให้การสนับสนุนเรามาโดยตลอด นี่ยังไม่รวมเขตกลุ่มองค์กรต่างจังหวัดที่อยู่ไกลๆที่เราไม่ได้เชิญ หรืออย่างเช่นพี่น้องทางภาคใต้ เป็นต้น
แต่ก็มีพี่น้องบางรายที่ติดธุระด่วน ไม่สามารถมาร่วมงานกับเราได้ และบางรายก็เอาเงินมาบริจาคเพิ่มเติมให้แก่เราในภายหลัง ดังนั้นอย่าเอาการประเมินที่ผิดจากข้อเท็จจริงมาตัดสินเราเลย
……………………………...
ข้อที่ 2 ตอนโทรไปหาคนซื้อ แค่คนซื้อรับปากก็ถือเป็น “อะกัต” ของการซื้อขายแล้ว
คำคอบ
ผู้ที่พูดประโยคนี้คงแยกไม่ออกระหว่างคำว่า “อักดุน” กับ “วะอ์ดุน” เพราะทั้งสองคำนี้มีความแตกต่างกันทั้งในด้านความหมายและฮุก่มศาสนาคือ
คำว่า وعد แปลว่า “ข้อตกลง” คือบทเบื้องแรกก่อนการซื้อขาย หรือการนัดแนะเพื่อจะทำการซื้อขาย
ส่วนคำว่า عقد หรือที่เจ้าของคำถามเรียกว่า อะกัต นั้นแปลว่า “สัญญา” คือสัญญาในการซื้อขาย
การโทรศัพท์ไปเชิญให้มาร่วมงานแล้วผู้รับสายตอบตกลงเป็นเพียงข้อตกลงใน เบื้องต้นที่เรียกว่า “วะอ์ดุน” เท่านั้นไม่ถือเป็น “อะกัต” หรือสัญญาของการซื้อขาย
และหากผู้รับเชิญไม่มาตามคำเชิญก็ไม่มีค่าปรับ หรือการจ่ายชดเชยเต่อย่างใด
………………………………
ข้อที่ 3 เขากล่าวว่า “เลิกโกหกได้แล้ว ซื้อ 1,400 ขาย 3,000” ซื้อมา 1,400 ขาย 3,000 กำไรเห็นๆ 1,600
คำตอบ
คำว่าโกหกคือข้อกล่าวหาที่ยัดเยียดให้แก่เราซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากการคิดเอาเองที่ปราศจากข้อเท็จจริง
และผู้ที่กล่าวเช่นนนี้มิได้อธรรมต่อเราหรอก แต่เขาอธรรมต่อความคิดของตนเองคือ
ประการที่ 1 เขาวนเวียนอยู่กับความเข้าใจผิดในเรื่องธุรกรรม 3 ฝ่าย และว่าเราซื้อมา 1,400 แต่ความจริงแล้วเราไม่ได้ซื้อแต่เราสั่งทำ และการซื้อกับการสั่งทำนั้นต่างกฎเกณฑ์และเงื่อนไข หรือกล่าวได้ว่าต่างวิธีและต่างฮุก่มทางศาสนา ซึ่งเราได้ชี้แจงไว้แล้วในการตอบคำถามข้อที่ 4
ประการที่ 2 ความจริงแล้วเฉพาะต้นทุนของอาหารอย่างเดียวมากกว่า 1,400.- บาท เพราะมีอาหารที่เราทำเองอีกส่วนหนึ่งที่เขาไม่ได้กล่าวถึง ซึ่งแน่นอนว่ามันคือต้นทุน นอกเหนือจากนั้นแล้วยังมีส่วนที่เรารับบริจาคอีกส่วนหนึ่งด้วย
ประการที่ 3 นอกจากต้นทุนค่าอาหารที่มากกว่า 1,400.- บาทแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เป็นต้นทุนอีกด้วย เช่น ค่าปรับพื้นที่จอดรถ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเวที ค่าเครื่องเสียง เจ้าหน้าที รปภ เจ้าหน้าที่จัดรถและจราจร และค่าของชำร่วย (ปฏิทินรายปี) รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นอีกจิปาถะ ซึ่งเหล่านี้คือต้นทุนที่ต้องนำมาหารเฉลี่ยก่อนที่จะทราบกำไรสุทธิ ฉะนั้นการกล่าวว่า กำไรเห็นๆโต๊ะละ 1,600 บาท จึงเป็นการแสดงข้อมูลที่เป็นเท็จ
ยอดรายได้ทั้งหมดของงานนั้นนอกจากที่กล่าวแล้วยังมีพี่น้องบริจาคให้อีกต่างหากอีกส่วนหนึ่งด้วย
..................................
ข้อที่ 4 อาจารย์ครับ เขาบอกซื้อสดขายสดนั้นโกหก คน 3,000 กว่าคนกว่าจะเก็บเงินเสร็จก็ซุโบ๊ะห์ เลี้ยงกระเพาะปลา 3,000 กว่าถ้วย กว่าจะเลี้ยงเสร็จ 3 วัน เน่าก่อนแน่ๆ
คำตอบ
ตั้งแต่ชี้แจงเรื่องโต๊ะจีนมา เราถูกกล่าวหาว่าเป็นคนโกหกจนชินซะแล้ว และเขาให้ข้อหาเราว่าโกหกบนพื้นฐานของการมโนเอาเอง จากการที่ไม่รู้และไม่มีประสบการณ์ในการจัดโต๊ะจีน เราไม่เคืองเขาแต่เราสงสารเขามากกว่า
เรื่องการเก็บเงินนั้นไม่ใช่การเก็บเงินรายหัวจากจำนวนคน 3,500 กว่าคน แต่เขาเก็บเงินเป็นรายโต๊ะ ซึ่งยอดทั้งหมดที่เราจัดมีจำนวนทั้งสิ้น 359 โต๊ะ หักโต๊ะที่ไม่เก็บเงิน (คือเลี้ยงฟรีกับนักเรียนและเด็กกำพร้า) จำนวน 16 โต๊ะคงเหลือที่ต้องชำระทั้งสิ้น 343 โต๊ะ ดังนั้นไม่ใช่เราเก็บเงินรายหัว 3,500 กว่าคน แต่เราเก็บเงินตามจำนวนโต๊ะแค่ 343 โต๊ะเท่านั้นเอง มันยากเย็นอะไร และวิธีการของเราไม่ใช่ให้จ่ายเงินแล้วเดินเข้างาน แต่ใช้ความสะดวกเป็นหลัก บางคนชำระก่อนและเข้างาน บางคนเข้างานก่อนหาที่นั่งก่อนแล้วมาชำระ และเชื่อไหมว่า เราไม่ได้มีเจ้าหน้าที่ตรวจบัตรและเช็คจำนวนคนเลย เพราะเราให้เกียรติแก่แขกของเราทุกคน
ส่วนเรื่องอาหารที่ว่า 3,000 กว่าคนต้องเลี้ยง 3 วันนั้น ก็เป็นคำพูดที่ตลกอีกเช่นกัน เพราะเราทยอยเลี้ยงไปเรื่อยๆ ใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น
ท่านอาจจะสงสัยว่าเราทำอย่างไร ขอเรียนว่า เราไม่ได้ทำอาหารแจกจ่ายตามจำนวนคน 3,500 กว่าคน เช่นที่เขายกตัวอย่างมาว่าทำกระเพาะปลา 3,500 กว่าถ้วย มันคือการมโนเอาเองของคนที่ไม่มีประสบการณ์
ข้อเท็จจริงคือ จำนวนโต๊ะ 359 โต๊ะหักโต๊ะคณะครูและนักเรียนและคณะทำงานที่กินหลังจากเลิกงานจำนวน 20 โต๊ะ คงเหลือที่ต้องเลี้ยงอาหารพร้อมกันทั้งสิ้นจำนวน 339 โต๊ะ
เราเลี้ยงอาหารตามจำนวนโต๊ะ 359 โต๊ะ ไม่ใช่เลี้ยงอาหารตามจำนวนคน 3,500 กว่าคน ดังนั้นเราจึงทำอาหารแค่ 300 กว่าชุดเท่านั้นเอง
ถามว่าเราเลี้ยงอาหารตั้งแต่หัวค่ำถึงซุโบะห์ไหม หรือบางท่านกล่าวว่าต้องเลี้ยงกัน 3 วันถึงจะครบ แต่ข้อเท็จจริงเราบริการอาหารแบบทยอยกินไปเรื่อยๆ ใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น
ถ้าไม่รู่ ไม่เข้าใจ หรือไม่มีประสบการณ์ก็หยุดวิจารณ์และหยุดให้ข้อหาว่าคนอื่นโกหกซะทีเถอะ
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=355204678014219&id=100005740689770