ค้นหา  ·  หัวข้อเรื่อง  ·  เข้าระบบ  ·  เผยแพร่เรื่อง
                      สมัครสมาชิก  

หนังสือใหม่

ผลงานล่าสุด
ของ อ.ฟารีด เฟ็นดี้


อีซีกุโบร์



พิธีกรรมยอดฮิตติดอันดับของเมืองไทย อิซีกุโบร์ พิธีกรรมเซ่นสังเวยดวงวิญญาณ วิเคราะห์เจาะลึกถึงที่มาพร้อมวิเคราะห์หลักฐาน คนกินข้าว ผีกินบุญ จริงหรือ ?

อุศ็อลลี



เหนียตและการตะลัฟฟุซแตกต่างกันอย่างไร แสดงที่มาของการกล่าวอุศ็อลลี แจงเหตุที่มาและบทวิเคราะห์ทางวิชาการ

ซัยยิดินา



การเพิ่มซัยยิดินาในศอลาวาต เป็นฮะดีษศอเฮียะห์จริงหรือ แจงเหตุที่มาและบทวิเคราะห์ทางวิชาการ

การยกมือตั๊กบีร
ระหว่างสองสุญูด




การยกมือตั๊กบีรระหว่างสองสุญูด เป็นซุนนะห์จริงหรือ วิเคราะห์หลักฐานที่กล่าวกันว่าท่านนบีกระทำเป็นบางครั้งจริงหรือไม่

วะบิฮัมดิฮี



หลักฐานการอ่านวะบิฮัมดิฮีในรุกัวอ์และสุญูดถูกต้องหรือ เชคอัลบานีว่าเป็นฮะดีษ ศอเฮียะห์จริงหรือไม่ พิสูจน์หลักฐานตามศาสตร์ของฮะดีษ เพื่อคุณจะได้มีคำตอบแก่ตัวเอ

วาญิบต้องศอลาวาต
ในตะชะฮุดแรกหรือ




ชี้แจงมุมมองของเชคอัลบานี ที่ตกทอดสู่เมืองไทย ถ้าไม่อ่านศอลาวาตในตะชะฮ์ฮุดแรกละหมาดใช้ไม่ได้ หากลืมก็ต้องสุญูดซะฮ์วี จริงหรือ อ่านวิเคราะห์หลักฐานทางวิชาการ เพื่อคุณจะได้มีคำตอบแก่ตัวเอง

รู้ทันชีอะฮ์



เผยกลลวงของชีอะห์ในการดึงมุสลิมออกจากอิสลาม
ตอบโต้ข้อกล่าวหา,ใส่ร้าย,ประณามศอฮาบะห์

ติดต่อและสั่งซื้อได้ที่
คุณยะอ์กู๊บ น้อยนงค์เยาว์
084 0004619


รวมวิดีโอ

>>..ดูทั้งหมด..<<


เมนูหลัก

 บริการหลัก
หน้าแรก
ถามตอบ
ติดต่อสอบถาม
แนะนำบอกต่อ
ค้นหา
แสดงสถิติ
ผลสำรวจ
ยอดฮิตติดอันดับ
 บริการสมาชิก
รายนามสมาชิก
 บริการข่าวสาร
 บริการอื่นๆ
ดาวน์โหลด
วิดีโอบรรยาย
ห้องแสดงภาพ
ฮะดีษแปลไทย


บทความรายวิชา








วิเคราะห์ข้อขัดแย้ง

  ศอฮาบะห์กางเต้นท์อ่านอัลกุรอานบนกุโบร์หรือ
  อัลกอมะห์กับแม่
  อิสลามเปลี่ยนวันใหม่ตอนมักริบไม่ใช่เที่ยงคืน
  เฝ้ากุโบร์ไม่ฮะราม..หรือ
  วิพากษ์หลักฐานเรื่องทำกุรบานให้คนตาย
  ถือศีลอดสิบวันแรกเดือนซุ้ลฮิจญะห์เป็นฮะดีษศอเฮียะห์หรือไม่
  วันที่ 9 ซุ้ลฮิจญะห์ที่ไม่มีอะรอฟะห์
  มีหลักฐานห้ามไหม
  กล่าวเท็จต่อท่านนบีว่า ท่านอ่านอัลกุรอานในกุโบร
  วิพากษ์หลักฐานการอ่านอัลกุรอานที่กุโบร์ ตอนที่ 3 คำรายงานที่ถูกต้องจากอิบนิอุมัร

[ดูเรื่องทั้งหมด]

บทความทั่วไป

  ทำบุญประเทศ
  เมื่อโลกหยุดหมุน
  ผีแม่ซื้อ
  ประเพณีการแต่งงานของมุสลิมภาคใต้
  อาซูรอ 10 มุฮัรรอม กับตำนานกวนซุฆอ
  เมาตาคือใคร
  ...ทาส... ตอนที่ 2
  ...ทาส... ตอนที่ 1
  เผยอะกีดะห์กลุ่มดะอ์วะห์ ตอนที่ 2
  เผยอะกีดะห์กลุ่มดะอ์วะห์ ตอนที่ 1

[ดูเรื่องทั้งหมด]

เหมือนหรือต่าง

ภาพเปรียบเทียบระหว่างพิธีการทรมานตนเองของชาวชีอะฮ์ อิหม่าม 12 ในวันที่ 10 มุฮัรรอมของทุกปี กับม้าทรงของศาลเจ้าสามกอง ในงานประจำปี จ.ภูเก็ต


ชีอะฮ์อิหม่ามสิบสอง

ม้าทรงศาลเจ้าสามกอง

ชีอะฮ์อิหม่ามสิบสอง

ม้าทรงศาลเจ้าสามกอง

ชีอะฮ์อิหม่ามสิบสอง


เวบลิ้งค์

มรดกอิสลาม
อัซซุนนะห์
ซุนนะห์ไซเบอร์
ชมรมวะรอซะตุซซุนนะฮฺ แนวร่วมมุสลิมต่อต้านรอฟิเฏาะ - ร่วมต่อต้านวันนี้ หรือจะรอให้สายเกินไป



ชีอะห์ใส่ร้ายศอฮาบะห์ว่าเป็นมุนาฟิก




เราได้คุยกันมาก่อนแล้วว่า ศอฮาบะห์ของท่านรอซูลคือ บุคคลในยุคต้นที่ได้พบและศรัทธาต่อท่านนบี และตายในสภาพที่เป็นมุสลิม บรรดาศอฮาบะห์มีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่,ต่อสู้และปกป้องอัลอิสลาม โดยยอมสละชีวิตตัวเอง,คนที่รัก และทรัพย์สินในวิถีทางของอัลลอฮ์ ซึ่งพระองค์อัลลอฮ์ได้กล่าวถึงความพอพระทัยของพระองค์ที่มีต่อพวกเขา ว่า



وَالسَابِقُوْنَ الأوَّلُوْنَ مِنَ المُهَاجِرِيْنَ وَالأنْصَارِ وَالَذِيْنَ اتَّبَعُوْهُمْ بِاحْسَانٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُمْ وَرَضُوا عَنْهُ وَأَعَدَّلَهُمْ جَنَّاتٍ تَجْرِي مِنْ تَحْتِهَا الأنْهَارُ خَالِدِيْنَ فِيْهَا أبَدًا ذَلِكَ الفَوْزُ العَظِيْمُ



"บรรดาบรรพชนรุ่นแรกในหมุ่ผู้อพยพ
(มุฮาญีรีน) และบรรดาผู้ให้ความช่วยเหลือ (อันศอร) อีกทั้งบรรดาผู้เจริญรอยตามพวกเขาด้วยความดีนั้น พระองค์อัลลอฮ์ทรงพอพระทัยพวกเขา และพวกเขาก็พอใจต่อพระองค์ด้วย และพระองค์ได้ทรงเตรียมสวรรค์ไว้สำหรับพวกเขา ซึ่งมีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่เบื้องล่าง พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล นี่แหละคือชัยชนะอันยิ่งใหญ่" ซูเราะห์อัตเตาบะห์ อายะห์ที่ 100



นอกจากนั้น ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ยังได้ห้ามด่าทอหรือประณามบรรดาศอฮาบะห์ของท่าน เพราะมุสลิมทั้งโลกบริจาคทองประหนึ่งดังภูเขาอุฮุดก็ยังไม่เท่ากับศออาบะห์บริจาคเพียงหนึ่งมุด หรือครึ่งมุด โดยท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวว่า



لاَ تَسُبُّوا أصْحَابِي فَلَوْ أنَّ أحَدَكُمْ أنْفَقَ مِثْلَ أُحُدٍ ذَهَبًا مَا بَلَغَ مُدَّ أَحَدِهِمْ وَلاَ نِصْفَهُ



“พวกเจ้าทั้งหลายอย่าได้ด่าประณามศออาบะห์ของฉัน เพราะหากพวกท่านบริจาคทองประหนึ่งดังภูเขาอุฮุด ก็จะไม่เท่ากับพวกเขาบริจาคหนึ่งมุดหรือเพียงครึ่งมุด”
รายงานโดยอบีสะอี๊ด อัลคุรีย์ บันทึกโดยอิหม่ามบุคคอรี ฮะดีษเลขที่ 3397




ทั้งๆ ที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ลงอัลกุรอานมาหลายอายะห์บอกให้ทราบว่าพระองค์ทรงพอพระทัยบรรดาศอฮาบะห์และพวกเขาก็เป็นชาวสวรรค์ แต่เหล่าชีอะฮ์อิหม่ามสิบสองยังคงพยายามที่จะบิดเบือนอัลกุรอานและฮะดีษของท่านรอซูล โดยนำเอาอายะห์อัลกุรอานที่กล่าวถึงบรรดามุนาฟิกีน (ผู้กลับกลอก) มาใส่ร้ายบรรดาศอฮาบะห์ แล้วยัดเยียดให้พวกเขาเป็นชาวนรก
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า

اِنَّ المُنَا فِقِيْنَ فِي الَّدَرْكِ الأسْفَلِ مِنَ النَّارِ

“แท้จริงบรรดามุนาฟีกีนอยู่ในขั้นต่ำสุดจากขุมนรก” ซูเราะห์อันนิซาอ์ อายะห์ที่ 145

ภาพของชาวสวรรค์กับภาพของชาวนรกเป็นภาพที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยพระองค์อัลลอฮ์บอกว่าศอฮาบะห์เป็นชาวสวรรค์ แต่มุนาฟีกีนเป็นชาวนรก แล้วอย่างไรเล่าที่ชีอะฮ์อิหม่ามสิบสองถึงให้ข้อหาศอฮาบะห์ว่าเป็นมุนาฟีกีน ทั้งที่ภาพทั้งสองนี้หลอมรวมกันไม่ได้เลย หรืออัลกุรอานจะค้านกันเอง หรือว่าเหล่าชีอะอ์บิดเบือนอัลกุรอานกันแน่ หรือว่าท่านนบีจะถูกหลอกตลอดชีวิต หรือว่าชีอะฮ์กำลังหลอกชาวโลกกันแน่ ฉะนั้นเราจึงต้องติดตามดูรายละเอียดกัน แต่ก่อนที่จะตีแผ่การบิดเบือนของเหล่านอกคอกอย่างชีอะฮ์อิหม่ามสิบสองนี้ ต้องทำความเข้าใจคำว่า มุนาฟิกกันก่อนว่า พวกเขาคือใคร

คำว่า มุนาฟิก เป็นคำเอกพจน์ หมายถึงบุคคลคนเดียว แต่ถ้าคำนี้อยู่ในรูปพหูพจน์ที่หมายถึงหลายคนก็จะใช้คำว่า มุนาฟิกูน หรือ มุนาฟิกีน ตามการออกเสียงทางหลักภาษาอาหรับ โดยขึ้นอยู่ว่าคำนี้จะไปตกอยู่ในตำแหน่งใดของประโยค ส่วนความหมายของคำนี้ คงจะไม่มีใครให้คำจำกัดความและอธิบายได้ดีไปกว่าท่านนบี มูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม
ท่านอบูฮุรอยเราะห์ ร่อดิยัลลอฮุอันฮุ ได้รายงานว่า ท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวว่า

اِنَّ شَرَّ النَاسِ ذُو الوَجْهَيْنِ الَّذِي يَأْتِي هَؤُلاءِ بِوَجْهٍ وَهَؤُلاَءِ بِوَجْهٍ

“มนุษย์ที่เลวที่สุดนั้นคือ คนที่มีสองหน้า โดยที่เขาอยู่กับคนนี้หน้าหนึ่ง และอยู่กับอีกคนก็อีกหน้าหนึ่ง” ศอเฮียะห์บุคคอรี ฮะดีษเลขที่ 6643

ในที่นี้คือบุคคลที่กลับกลอกด้านการศรัทธา โดยที่คำพูดและพฤติกรรมของเขา ไม่ตรงกับหัวใจนั่นคือพวกเขาไม่ศรัทธาแต่พูดหรือแสดงภาพของการเป็นผู้ศรัทธา โดยพระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงแฉพฤติกรรมของพวกเขาว่า

وَاِذاَ لَقُوا الَّذِيْنَ آمَنُوا قَالُوا آمَنَّا وَاِذاَ خَلَوا اِلى شَيَاطِيْنِهِمْ قَالُوا اِنَّا مَعَكُمْ اِنَّمَا نَحْنُ مُسْتَهْزِءُوْنَ

“และเมื่อพวกเขาได้พบกับบรรดาผู้ศรัทธา พวกเขาจะกล่าวว่า เราก็ศรัทธา แต่เมื่อพวกเขาได้อยู่กับบรรดาหมู่มารของพวกเขาโดยลำพัง พวกเขาจะกล่าวว่า แท้จริงเราอยู่กับพวกท่าน เราเพียงเป็นผู้เย้ยหยันผู้ศรัทธาเท่านั้น” ซูเราะอัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 14
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า

وَمِنَ النَّاسِ مَنْ يَقُوْلُ آمَنَّا بِاللهِ وَبِاليَوْمِ الآخِرِ وَمَاهُمْ بِمُؤْمِنِيْنَ

“และมีคนอยู่ส่วนหนึ่งที่พวกเขากล่าวว่า เราศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันอวสาน แต่พวกเขาก็มิได้เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ศรัทธา” ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 8

จากอัลกุรอานและคำพูดของท่านนบีข้างต้นนี้ทำให้เราได้เห็นภาพความแตกต่างระหว่างศอฮาบะห์ของท่านรอซูล ที่เป็นผู้ศรัทธาและเป็นชาวสวรรค์ กับภาพของมุนาฟีกีน ที่ไม่ได้เป็นผู้ศรัทธาและเป็นชาวนรก ได้อย่างชัดเจน และเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า บุคคลที่มีพฤติกกรรมไม่ใช่ผู้ศรัทธานั้น แม้ปากของพวกเขาจะยืนยันด้วยกะลิมะห์ทั้งสองก็ตาม พวกเขาก็ไม่ได้เป็นมุสลิม


มุนาฟีกีนในสมัยท่านนบี

นครยัสริบ เคยเป็นอณาจักรของยิวหลายตระกูล มีทั้งเผ่าบนีมุสฏอลิก, บนีนะดีร, บนีกอยนุกออ์,บนีกุรอยเซาะฮ์ โดยมีนายอับดุลลอฮ์ อิบนิอุบัย อิบนิซะลูน เป็นผู้นำ แต่เมื่อท่านนบีและบรรดาผู้ศรัทธาในยุคแรก (มุฮาญีรีน) ได้อพยพมาอยู่ที่นครแห่งนี้ บรรดาผู้คนต่างกล่าวขานกันว่า มะดีนะตุ้ลรอซูล หมายถึงนครแห่งท่านรอซูล และในที่สุดชื่อ นครยัสริบก็ไม่มีผู้ใดเรียกขานอีกต่อไป แต่กลับเรียกว่า มะดีนะตุ้รรอซูล หรือเรียกสั้นๆว่า “มะดีนะห์” นั่นเอง

นอกเหนือจากนั้นนครแห่งนี้ยังได้กลายเป็นอณาจักรของผู้ศรัทธาอย่างแท้จริง เพราะวันแล้ววันเล่ามีผู้คนทั้งใกล้ไกลต่างเดินทางเข้าพบท่านรอซูลและประกาศตัวเป็นมุสลิมอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผู้เคยมีบารมีอย่างนายอับดุลลอฮ์ อิบนิซะลูน เกิดความเคียดแค้น เพราะมูฮัมหมัด รอซูลุ้ลลออ์ ได้กลายเป็นศูนย์รวมจิตใจของบรรดาผู้ศรัทธาไปแล้ว แต่ก็ไม่มีวิถีทางใดที่ขัดขวางไม่ให้ผู้คนได้มารับอิสลาม อีกทั้งไม่สามารถที่จะทำลายมุสลิมและอิสลามได้ในขณะนั้น ด้วยเหตุนี้นายอับดุลลอฮ์ อิบนิอุบัย อิบนิซะลูน กับพวกจึงได้ประกาศตนเป็นมุสลิมกับเขาด้วย ขณะที่พวกเขามิได้ศรัทธา พระองค์อัลลอฮ์ได้แจ้งให้ท่านนบีได้ทราบเรื่องนี้ว่า

وَمِمَّنْ حَوْلَكُمْ مِنَ الأعْرَابِ مُنَافِقُوْنَ وَمِنْ أهْلِ المَدِيْنَةِ مَرَدُوا عَلَى النِفَاقِ

“และจากอาหรับชนบทส่วนหนึ่งที่อยู่รอบๆ พวกเจ้าเป็นพวกตีสองหน้า และจากชาวมะดีนะห์บางส่วนก็เช่นเดียวกัน พวกเขาดึงดันในการตลบตะแลง” ซูเราะห์อัตเตาบะห์ อายะห์ที่ 101

และเรื่องนี้เป็นเหตุของการประทานซูเราะห์อัลมุนาฟิกูน ที่พระองค์อัลลอฮ์ได้แฉพฤติกรรมของพวกเขาตั้งแต่ต้นซูเราะห์ว่า

اِذَا جَاءَكَ المُنَافِقُوْنَ قَالُوا نَشْهَدُ اِنَّكَ لَرَسُوْلُ اللهِ وَاللهُ يَعْلَمُ اِنَّكَ لَرَسُوْلُهُ وَاللهُ يَشْهَدُ اِنَّ المُنَا فِقِيْنَ لَكَاذِبُوْنَ

“เมื่อพวกตีสองหน้ามาหาเจ้าโดยพวกเขากล่าวว่า เราขอปฏิญาณว่าแท้จริงท่านนั้นคือรอซูลของอัลลอฮ์ และอัลลอฮ์ทรงรู้ดียิ่งว่าเจ้านั้นคือรอซูลของพระองค์ และอัลลอฮ์ทรงยืนยันว่า แท้จริงพวกตีสองหน้านั้นคือพวกมดเท็จ” ซูเราะห์อัลมุนาฟิกูน อายะห์ที่ 1

การเข้ารับอิสลามของนายอับดุลลอฮ์ อิบนิอุบัย อิบนิซะลูนกับพวกนี้ แม้ว่าจะได้ประกาศว่าท่านนบีมูฮัมหมัดเป็นรอซูลของอัลลอฮ์ก็ตาม แต่นั่นเป็นเพียงคำประกาศแต่เพียงปาก ในขณะที่หัวใจของพวกเขาไม่ศรัทธา ฉะนั้นพระองค์อัลลอฮ์จึงได้สำทับว่า การประกาศของพวกไม่มีค่า แม้ว่าพวกเขาจะยอมรับการเป็นรอซูลของท่านนบีมูฮัมหมัด หรือไม่ก็ตาม และที่สำคัญก็คือพระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงบอกว่า คำปฏิญาณของพวกเขานั้นเป็นการโกหก แล้วพวกเขาประกาศตนเป็นมุสลิมกันทำไม
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงแฉว่า

اتَّخَذُوا أيْمَانَهُمْ جُنَّةً فَصَدُّوا عَنْ سَبِيْلِ اللهِ اِنَّهُمْ سَاءَ مَاكَانُوا يَعْمَلُوْنَ

“พวกเขาได้เอาการสาบานของพวกเขาเป็นเกราะกำบัง โดยพวกเขาขัดขวางแนวทางของอัลลอฮ์ แท้จริงสิ่งที่พวกเขาได้กระทำนั้นมันช่างชั่วช้าเหลือเกิน” ซูเราะห์อัลมุนาฟิกูน อายะห์ที่ 2

พวกเหล่านี้ได้เอาการแสดงตนเป็นมุสลิมไว้ปกป้องตนเองในขณะที่พวกเขาวางแผนการทำลายมุสลิมและอิสลาม ฉะนั้นการเป็นมุสลิมของคนพวกนี้จึงได้กลายเป็นหอกข้างแคร่ที่คอยทิ่มแทงท่านรอซูลและบรรดาศอฮาบะห์อยุ่ตลอดเวลา แม้ว่าท่านรอซูลจะทราบดีว่าพวกเขาเป็นมุสลิมโดยสมอ้างเท่านั้นก็ตาม แต่ท่านก็ยังปฏิบัติตนกับคนเหล่านี้ด้วยดีเสมอมา

เคยมีบรรดาศอฮาบะห์ของท่านรอซูลหลายคน โดยเฉพาะท่านอุมัร อิบนุค๊อตต๊อบ เสนอและอาสากำจัดบุคคลเหล่านี้ แต่ท่านรอซูลก็ปรามไว้โดยให้เหตุผลว่า ชาวกุรอยซ์ที่มักกะห์จะสบโอกาสปล่อยข่าวประณามว่า มูฮัมหมัดฆ่าศอฮาบะห์ของตัวเอง แต่ยิ่งวันพวกเขาก็ยิงฮึกเหิม โดยกุข่าวเท็จทำลายท่านนบีและครอบครัว และสร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นในหมู่ศอฮาบะห์ ตัวอย่างเช่น

1. ชักชวนคนไม่ให้การสนับสนุนต่อท่านนบีและบรรดามุฮาญีรีน เพื่อโดดเดี่ยวนบีและศอฮาบะฮ์ในนครมะดีนะห์ เมื่อครั้งที่ท่านนบีไปถึงมดีนะห์ช่วงแรก (ดูซูเราะห์อัลมุนาฟิกูน อายะห์ที่ 7)
2. กล่าวคำพูดสบประมาทท่านนบีและศอฮาบะห์ว่าเป็นผู้ต่ำต้อย และพวกเขาพร้อมจะขับไล่ให้ออกจากมะดีนะห์เมื่อไหร่ก็ได้ (ดูซูเราะห์อัลมุนาฟิกูน อายะห์ที่ 8)
3. ประโคมข่าวใส่ร้ายท่านนบีว่าเอาลูกสะใภ้มาเป็นเมีย (ดูซูเราะห์อัลอะห์ซาบ อายะห์ที่ 37)
4. ทำลายครอบครัวท่านนบี โดยใส่ร้ายท่านหญิงอาอิชะห์ว่ามีชู้ (ดูซูเราะห์อัลนูร อายะห์ที่ 11)
5. ไม่ออกร่วมสงครามตะบู๊กกับท่านนบีและเหล่าศอฮาบะห์ (ดูซูเราะห์อัตเตาบะห์ อายะห์ที่ 81
6. ชวนทหารหนีทัพในสงครามคอนดั๊ก ขณะเผชิญหน้ากับศัตรู (ดูซูเราะห์อัลอะห์ซาบ อายะห์ที่ 13,14)
7. สร้างมัสยิด (ดิรอร) โดยหลอกนบีและศอฮาบะห์เข้าไปเพื่อสังหาร (ดูซูเราะห์อัตเตาบะห์ อายะห์ที่ 107, 108)

หมายเหตุ ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากหนังสือ “มุนาฟิก” แฉพฤติกรรมของผู้บ่อนทำลายอิสลาม รวบรวมจากคำบรรยายของอาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้ จัดเป็นรูปเล่มโดยศูนย์หนังสือนัฟฟาซี่

หลังจากที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงแจ้งให้ท่านนบีทราบว่า มีบรรดามุนาฟิกีนแฝงตัวอยู่ในหมู่ศอฮาบะห์ โดยที่พวกเขาไม่ใช่ศอฮาบะห์ และพวกเขาไม่ได้เป็นมุสลิม แต่กลุ่มชีอะฮ์อิหม่ามสิบสองกลับนำเอาอายะห์อัลกุรอานที่เกี่ยวกับมุนาฟีกีน ไปใส่ร้ายบรรดาศอฮาบะห์ของท่านรอซูลโดยปราศจากหลักฐาน (ขออัลลอฮ์ทรงปกป้องบรรดาศอฮาบะห์ของท่านรอซูลให้พ้นจากความชั่วร้ายของเหล่าชีอะฮ์อิหม่ามสิบสองด้วยเถิด) แต่พฤติกรรมของบรรดามุนาฟีกีนที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนั้น ไม่ต่างอะไรกับพฤติกรรมของบรรดาชีอะฮ์อิหม่ามสิบสองที่ได้แสดงอยู่ตอนนี้เลย นอกจากจำนวนเท่านั้นที่ทำให้เราได้เห็นความแตกต่างระหว่างมุนาฟิกีนในยุคของท่านนบีกับมุนาฟีกีนในยุคปัจจุบัน
ท่านฮุซัยฟะห์ อิบนุ ยะมาน ได้รายงานเรื่องนี้จากท่านนบีว่า

عَنِ النَبِيِ صَلى اللهُ عَليْهِ وَسَلَّمَ قَالَ فِي أصْحَابِي اِثْنَا عَشَرَ مُنَافِقًا مِنْهُمْ ثَمَانِيَةٌ لاَ يَدْخُلُوْنَ الجَنَّةَ حَتَّى يَلِجَ الجَمَلُ فِي سَمِّ الخيَاطِ

ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวว่า (ผู้ที่แฝงมา) “ในหมู่ซอฮาบะห์ของฉันจำนวน 12 คน ที่เป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอก ในพวกเขามีอยู่แปดคนจะไม่ได้เข้าสวรรค์ จนกว่าอูฐจะสามารถรอดรูเข็มได้” บันทึกโดยอิหม่ามอะห์หมัด ฮะดีษเลขที่ 22229 และอิหม่ามมุสลิม เลขที่ 4983

ในฮะดีษข้างต้นนี้ยืนยันชัดเจนว่า บรรดามุนาฟีกีนในยุคนบีมีจำนวน 12 คน แต่ชีอะฮ์กลับบอกว่า ศอฮาบะห์ตกมุรตัดทั้งหมดเหลืออยู่ 3 คน ตามที่อัลกุลัยนี่ ได้บันทึกไว้ในหนังสือ ฟุรัวอุ้ลกาฟี ว่า

عن جعفر عليه السلام قال كان الناس أهل ردة بعد النبي صلى الله عليه وسلم الا ثلاثة فقلت من الثلاثة فقال المقداد بن الأسود وأبو ذر الغفاري وسلمان الفارسي

ท่านญะอ์ฟัร อลัยฮิสสลาม ได้กล่าวว่า “บรรดาผู้คนได้ตกศาสนาหลังจากนบีทั้งหมด เหลืออยู่ 3 คนเท่านั้น” ผู้รายงานถามว่า 3 คนนั้นคือใคร “เขาตอบว่า อัลมิกดาด บุตรของ อัลอัสวัด, อบูซัรริน อัลฆิฟารีย์, และซัลมาน อัลฟารีซีย์” จากฟุรัวอุ้ลกาฟีย์ โดยอัลกุลัยนีย์ หน้าที่ 115

เราไม่เข้าใจว่าทำไมคำพูดของท่านนบีกับคำพูดอิหม่ามของชีอะฮ์จึงแย้งกันเช่นนี้ แต่เราไม่เชื่อว่าท่านญะฟัรจะกล่าวไว้เช่นนั้นจริง นอกจากชีอะฮ์จะแอบอ้างยัดเยียดคำพูดเท็จให้แก่ท่านญะอ์ฟัรเสียเอง
และการที่ท่านนบีบอกว่า มุนาฟิกในยุคของท่านมีอยู่ 12 คนนั้นก็มิใช่เป็นคำรับรองว่า พวกเขาเป็นศอฮาบะห์ของท่าน แต่พวกเขาแฝงร่างอยู่ในคราบของศอฮาบะห์โดยอำพรางตนหลอกผู้อื่นให้เข้าใจว่าพวกเขาเป็นมุสลิม และแม้ว่าท่านนบีจะให้อภัยแก่พวกเขาหรือไม่ก็ตาม พวกเขาก็ไม่ใช่ศอฮาบะห์ และพระองค์อัลลอฮ์ก็ไม่ทรงให้อภัยแก่พวกเขา
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า

اسْتَغْفِرْلَهُمْ أَوْلاَ تَسْتَغْفِرْلَهُمْ اِنْ تَسْتَغْفِرْلَهُمْ سَبْعِيْنَ مَرَّةً فَلَنْ يَغْفِرَ اللهُ لَهُمْ ذَلِكَ بِأَنَّهُمْ كَفَرُوا بِاللهِ وَرَسُوْلِهِ

“เจ้าจะขออภัยโทษให้แก่พวกเขา หรือไม่ก็อย่าได้ขออภัยโทษให้พวกเขา ถึงแม้ว่าเจ้าจะขออภัยโทษให้แก่พวกเขาสักเจ็ดสิบครั้ง พระองค์อัลลอฮ์ก็จะไม่อภัยโทษให้พวกเขาเป็นอันขาด ทั้งนี้เพราะพวกเขาปฏิเสธอัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์” ซูเราะห์อัตเตาบะห์ อายะห์ที่ 80

และในเหตุการณ์ที่นายอับดุลลอฮ์ อิบนิอุบัย อิบนิซะลูน ซึ่งเป็นหัวหน้ามุนาฟีกีนได้เสียชีวิต พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงประทานอัลกุรอานมาว่า

وَلاَ تُصَلِّ عَلَى أَحَدٍ مِنْهُمْ مَاتَ أبَداً وَلاَ تَقُمْ عَلَى قَبْرِهِ اِنَّهُمْ كَفَرُوا بِاللهِ وَرَسُوْلِهِ وَمَاتُوا وَهُمْ فَاسِقُوْنَ

“และเจ้าจงอย่าได้ละหมาดให้แก่คนใดในหมู่พวกเขาที่ตายเป็นอันขาด และอย่าได้ยืนที่หลุมศพของพวกเขา แท้จริงพวกเขาได้ปฏิเสธต่อัลลอฮ์และรอซุลของพระองค์ และพวกเขาได้ตายไปในขณะที่พวกเขาเป็นคนชั่ว” ซูเราะห์อัตเตาบะห์ อายะห์ที่ 84

ที่กล่าวแล้วนี้คือภาพลักษณ์ของบรรดามุนาฟีกีนซึ่งเป็นชาวนรกที่ไม่มีทางจะเอาไปสวมทับภาพอันทรงเกียรติของบรรดาศอฮาบะห์ของท่านรอซูลที่เป็นชาวสวรรค์ได้ แต่หากชีอะฮ์พยายามทำเช่นนั้นเราก็มีคำถามที่จะถามชีอะฮ์ดังนี้

1. เพราะเหตุใดชีอะฮ์จึงนำอายะห์อัลกุรอานที่ลงมาเกี่ยวกับมุนาฟิกจำนวน 12 คนไปใส่ร้ายบรรดาศอฮาบะห์ หรือว่าชีอะฮ์มีหลักฐานมากกว่าจำนวนที่นบีบอกไว้

2. ชีอะฮ์จะอธิบายอย่างไรกับอายะห์อัลกุรอานที่บอกว่าบรรดาศอฮาบะห์เป็นชาวสวรรค์กับอายะห์ที่บอกว่ามุนาฟิกเป็นชาวนรก เพราะสถานะของศอฮาบะห์กับมุนาฟีกีนต่างกัน

3. เหตุใดฮะดีษของชีอะฮ์ที่อ้างว่าศอฮาบะห์ตกมุรตัดเป็นกาเฟรทั้งหมดเหลืออยู่เพียง 3 คน จึงขัดกับอัลกุรอานที่อัลลอฮ์บอกว่าศอฮาบะห์เป็นชาวสวรรค์ และขัดกับฮะดีษที่ท่านรอซูลบอกว่า มีมุนาฟิกอยู่ 12 คน และในนี้มีแปดคนไม่ได้เข้าสวรรค์จนกว่าอูฐจะลอดรูเข็ม

4. ท่านนบีถูกมุนาฟิกีนหลอกจนกระทั่งท่านเสียชีวิตโดยพระองค์อัลลอฮ์ไม่ปกปักษ์รักษาท่านหรือ แล้วอัลกุรอานซูเราะห์อัลมาอิดะห์ อายะห์ที่ 67 พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า “และอัลลอฮ์ปกป้องเจ้าจากมนุษย์” ชีอะฮ์จะว่าอย่างไร

5. ขณะที่ท่านนบีเจ็บหนักท่านได้ใช้ให้อบูบักรเป็นอิหม่ามนำละหมาด หากอบูบักรเป็นมุนาฟิกจะละหมาดและเป็นอิหม่ามนำละหมาดใช้ได้หรือ

6. ช่วงที่ท่านนบีเจ็บนั้น ขณะอบูบักร์เป็นอิหม่ามนำละหมาดอยู่ ท่านนบีก็ออกมาเป็นมะอ์มูมโดยนั่งละหมาดอยู่ด้านขวาของอบูบักร์ แล้วท่านนบีละหมาดตามหลังมุนาฟิกด้วยหรือ

7. เหตุใดท่านอาลีในมุมของชีอะฮืจึงเป็นบุคคลต่ำต้อยไร้เกียรติเหลือเกิน เพราะในช่วงการปกครองของท่านอบูบักร์,ท่านอุมัร,ท่านอุสมานนั้น ท่านอาลีก็ให้สัตยาบันต่อบรรดามุนาฟิกด้วย

8. และในช่วงการปกครองของทั้งสามท่านข้างต้นนี้ ท่านอาลีได้ละหมาดตามหลังมุนาฟิกที่เป็นชาวนรกเป็นระยะเวลาหลายวัน,หลายเดือน,หลายปีด้วยหรือ

9. ถ้าเช่นนั้นแล้วท่านอาลีขัดคำสั่งพระองค์อัลลอฮ์หรือเปล่า เพราะอัลลอฮ์บอกว่า “และพวกเจ้าอย่าได้ร่วมมือกับบรรดาผู้อธรรม ไฟนรกจะสัมผัสกับพวกเจ้า” ซูเราะห์ฮุด อายะห์ที่ 113









สงวนลิขสิทธิ์โดย © อ.ฟารีด เฟ็นดี้ All Right Reserved.

ติดประกาศ: 2007-02-08 (8947 ครั้ง)

[ ย้อนกลับ ]