ค้นหา  ·  หัวข้อเรื่อง  ·  เข้าระบบ  ·  เผยแพร่เรื่อง
                      สมัครสมาชิก  

หนังสือใหม่

ผลงานล่าสุด
ของ อ.ฟารีด เฟ็นดี้


อีซีกุโบร์



พิธีกรรมยอดฮิตติดอันดับของเมืองไทย อิซีกุโบร์ พิธีกรรมเซ่นสังเวยดวงวิญญาณ วิเคราะห์เจาะลึกถึงที่มาพร้อมวิเคราะห์หลักฐาน คนกินข้าว ผีกินบุญ จริงหรือ ?

อุศ็อลลี



เหนียตและการตะลัฟฟุซแตกต่างกันอย่างไร แสดงที่มาของการกล่าวอุศ็อลลี แจงเหตุที่มาและบทวิเคราะห์ทางวิชาการ

ซัยยิดินา



การเพิ่มซัยยิดินาในศอลาวาต เป็นฮะดีษศอเฮียะห์จริงหรือ แจงเหตุที่มาและบทวิเคราะห์ทางวิชาการ

การยกมือตั๊กบีร
ระหว่างสองสุญูด




การยกมือตั๊กบีรระหว่างสองสุญูด เป็นซุนนะห์จริงหรือ วิเคราะห์หลักฐานที่กล่าวกันว่าท่านนบีกระทำเป็นบางครั้งจริงหรือไม่

วะบิฮัมดิฮี



หลักฐานการอ่านวะบิฮัมดิฮีในรุกัวอ์และสุญูดถูกต้องหรือ เชคอัลบานีว่าเป็นฮะดีษ ศอเฮียะห์จริงหรือไม่ พิสูจน์หลักฐานตามศาสตร์ของฮะดีษ เพื่อคุณจะได้มีคำตอบแก่ตัวเอ

วาญิบต้องศอลาวาต
ในตะชะฮุดแรกหรือ




ชี้แจงมุมมองของเชคอัลบานี ที่ตกทอดสู่เมืองไทย ถ้าไม่อ่านศอลาวาตในตะชะฮ์ฮุดแรกละหมาดใช้ไม่ได้ หากลืมก็ต้องสุญูดซะฮ์วี จริงหรือ อ่านวิเคราะห์หลักฐานทางวิชาการ เพื่อคุณจะได้มีคำตอบแก่ตัวเอง

รู้ทันชีอะฮ์



เผยกลลวงของชีอะห์ในการดึงมุสลิมออกจากอิสลาม
ตอบโต้ข้อกล่าวหา,ใส่ร้าย,ประณามศอฮาบะห์

ติดต่อและสั่งซื้อได้ที่
คุณยะอ์กู๊บ น้อยนงค์เยาว์
084 0004619


รวมวิดีโอ

>>..ดูทั้งหมด..<<


เมนูหลัก

 บริการหลัก
หน้าแรก
ถามตอบ
ติดต่อสอบถาม
แนะนำบอกต่อ
ค้นหา
แสดงสถิติ
ผลสำรวจ
ยอดฮิตติดอันดับ
 บริการสมาชิก
รายนามสมาชิก
 บริการข่าวสาร
 บริการอื่นๆ
ดาวน์โหลด
วิดีโอบรรยาย
ห้องแสดงภาพ
ฮะดีษแปลไทย


บทความรายวิชา








วิเคราะห์ข้อขัดแย้ง

  ศอฮาบะห์กางเต้นท์อ่านอัลกุรอานบนกุโบร์หรือ
  อัลกอมะห์กับแม่
  อิสลามเปลี่ยนวันใหม่ตอนมักริบไม่ใช่เที่ยงคืน
  เฝ้ากุโบร์ไม่ฮะราม..หรือ
  วิพากษ์หลักฐานเรื่องทำกุรบานให้คนตาย
  ถือศีลอดสิบวันแรกเดือนซุ้ลฮิจญะห์เป็นฮะดีษศอเฮียะห์หรือไม่
  วันที่ 9 ซุ้ลฮิจญะห์ที่ไม่มีอะรอฟะห์
  มีหลักฐานห้ามไหม
  กล่าวเท็จต่อท่านนบีว่า ท่านอ่านอัลกุรอานในกุโบร
  วิพากษ์หลักฐานการอ่านอัลกุรอานที่กุโบร์ ตอนที่ 3 คำรายงานที่ถูกต้องจากอิบนิอุมัร

[ดูเรื่องทั้งหมด]

บทความทั่วไป

  ทำบุญประเทศ
  เมื่อโลกหยุดหมุน
  ผีแม่ซื้อ
  ประเพณีการแต่งงานของมุสลิมภาคใต้
  อาซูรอ 10 มุฮัรรอม กับตำนานกวนซุฆอ
  เมาตาคือใคร
  ...ทาส... ตอนที่ 2
  ...ทาส... ตอนที่ 1
  เผยอะกีดะห์กลุ่มดะอ์วะห์ ตอนที่ 2
  เผยอะกีดะห์กลุ่มดะอ์วะห์ ตอนที่ 1

[ดูเรื่องทั้งหมด]

เหมือนหรือต่าง

ภาพเปรียบเทียบระหว่างพิธีการทรมานตนเองของชาวชีอะฮ์ อิหม่าม 12 ในวันที่ 10 มุฮัรรอมของทุกปี กับม้าทรงของศาลเจ้าสามกอง ในงานประจำปี จ.ภูเก็ต


ชีอะฮ์อิหม่ามสิบสอง

ม้าทรงศาลเจ้าสามกอง

ชีอะฮ์อิหม่ามสิบสอง

ม้าทรงศาลเจ้าสามกอง

ชีอะฮ์อิหม่ามสิบสอง


เวบลิ้งค์

มรดกอิสลาม
อัซซุนนะห์
ซุนนะห์ไซเบอร์
ชมรมวะรอซะตุซซุนนะฮฺ แนวร่วมมุสลิมต่อต้านรอฟิเฏาะ - ร่วมต่อต้านวันนี้ หรือจะรอให้สายเกินไป



อาลีช่วยด้วย !!





               เป็นความผิดอย่างมหันต์ที่จะมอบนามชื่อหรือคุณลักษณะของพระองค์อัลลอฮ์ให้แก่ผู้ใด และเป็นความผิดอย่างร้ายแรงหากเชื่อว่ามีสิ่งถูกสร้างที่มีลักษณะเช่นเดียวกับพระองค์อัลลอฮ์ เพราะไม่มีสิ่งถูกสร้างใดๆเสมอเหมือนหรือเทียบเท่าพระองค์เป็นอันขาด นี่คือหลักการศรัทธาข้อแรกที่มุสลิมทุกคนต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ



                พระนามและคุณลักษณะของพระองค์อัลลอฮ์ถูกจำกัดแด่พระองค์เพียงผู้เดียว ฉะนั้นการที่จะนำเอาพระนามของอัลลอฮ์ไปตั้งชื่อก็จำเป็นต้องใส่คำนำหน้าว่า “อับดุล” แปลว่า “บ่าว” เมื่อเรียกรวมก็จะเป็น “อับดุลลอฮ์” แปลว่า “บ่าวของอัลลอฮ์” และคุณลักษณะของพระองค์ก็เช่นเดียวกัน เช่นคำว่า “อัรเราะห์มาน” หากจะนำไปตั้งชื่อก็ต้องใส่คำนำหน้าว่า “อับดุล” เมื่อเรียกรวมก็จะเป็น “อับดุลเราะห์มาน” อย่างนี้เป็นต้น


               และเมื่อคำว่า “อับดุล” ที่แปลว่า “บ่าว” เป็นคำนำหน้า ฉะนั้นคำตามหลังก็จะต้องเป็นพระนามหรือคุณลักษณะของพระองค์อัลลอฮ์เท่านั้น เพราะมุสลิมจะเป็นบ่าวของผู้ใดไม่ได้โดยเด็ดขาด แต่เราก็พบว่าชาวชีอะฮ์บางคนได้ยกย่องเทิดทูนท่านฮุเซนเสมอพระองค์อัลลอฮ์ โดยการตั้งชื่อว่า “อับดุลฮุเซน” แปลว่า “บ่าวของฮุเซน” เป็นความคลั่งไคล้ของชีอะฮ์ที่ยอมมอบตัวเองเป็นบ่าวของท่านฮุเซน หรือยอมยกให้ท่านฮุเซนอยู่ในสถานะเดียวกับพระเจ้า นี่ไม่ใช่ข้อกล่าวหา หรือคำใส่ร้ายชีอะฮ์อย่างเลื่อนลอย เพราะพวกเขาตั้งชื่อนี้กันอย่างดาษดื่น ไม่ใช่เฉพาะคนอะวามที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะแม้กระทั่งอุลามาอ์ของชีอะฮ์เอง ก็ยังใช้ชื่อนี้อีกด้วย

    นี่คือภาพของอุลามาอ์ชีอะฮ์

อายาตุ้ลลอฮ์ อัสซัยยิด อับดุลฮุเซน ผู้ประพันธ์หนังสือและตำราของชีอะฮ์หลายเล่มด้วยกัน เกิดเมื่อปี 1913 และตายปีที่ 1981


               ไม่ใช่เพียงชาวชีอะฮ์ยอมยกให้ท่านฮุเซนเสมออัลลอฮ์เท่านั้น แต่พวกเขายังได้มอบคุณลักษณะของพระองค์อัลเลาะห์แก่บรรดาอิหม่ามของพวกเขาอีกด้วย เช่นการเอ่ยชื่อบรรดาอิหม่ามในขณะวิงวอนดุอาอ์ หรือในการขอความช่วยเหลือขณะเกิดวิกฤติใดๆ โดยการกล่าวว่า “อาลีมะดัด” แปลว่า “อาลีช่วยด้วย”
              
โดยพื้นฐานหลักการศรัทธาของอิสลามแล้ว การกล่าวเช่นนี้ถือเป็นซิรก์ใหญ่ หมายถึงการตั้งภาคี  คือการนำสิ่งอื่นมามีส่วนร่วมในการทำอิบาดะห์ หรือในการวิงวอนขอ  และในบางครั้งพวกเขาก็จะเรียกชื่ออิหม่ามของพวกเขาอย่างโหยหวนเมื่อยามตกทุกข์ได้ยากด้วยคำว่า “ยาฮุเซน” หรือแม้กระทั่งเอ่ยชื่อบรรดาวะลีย์คนอื่นๆ ที่พวกเขาศรัทธา แทนการกล่าวนามของพระองค์อัลลอฮ์
              
และเมื่อเราตีแผ่การกระทำของพวกเขาเช่นนี้ พวกเขาก็จะปฏิเสธว่าไม่ได้วิงวอนขอต่ออิหม่าม แต่ให้อิหม่ามเป็นสื่อกลางในการขอต่อพระองค์อัลลอฮ์  นี่คือการปฏิเสธแบบขอไปที หรือเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะขอต่อผู้อื่นโดยตรงนอกจากอัลลอฮ์ หรือขอให้คนตายเป็นสื่อกลางในการวิงวอนต่อพระองค์อัลลอฮ์ หรือขอโดยการอ้างบารมีของผู้อื่นนั้น ล้วนแต่เป็นการกระทำที่เป็นชิรก์ หมายถึงการตั้งภาคีต่อพระองค์อัลลอฮ์ทั้งสิ้น โดยเฉพาะการอ้างบารมีของผู้อื่นในการวิงวอนขอนั้นไม่สามารถบีบบังคับพระองค์อัลลอฮ์ให้ตอบรับคำวิงวอนของพวกเขาได้ เพราะการวิงวอนหรือการขอความช่วยเหลือที่มนุษย์และสิ่งถูกสร้างให้ไม่ได้นั้น จะต้องขอต่อพระองค์อัลลอฮ์ทั้งสิ้น และต้องเอ่ยพระนาม หรือคุณลักษณะนามของพระองค์ในวิงวอนและขอความช่วยเหลือพระองค์อัลลอฮ์ทรงกล่าวว่า

 

وَللهِ الأسْمَاءُ الحُسْنَى فَادْعُوْهُ بِهَا

“และสำหรับอัลลลอฮ์ทรงมีพระนามที่สวยงาม ดังนั้นจงเรียกหาพระองค์ด้วยนามเหล่านั้นเถิด” ซูเราะห์อัลอะอ์รอฟ อายะห์ที่ 180

              
ถ้อยความที่ชีอะฮ์กล่าวว่า “อาลีมะดัด”  หมายถึงการเรียกหาท่านอาลี และการขอความช่วยเหลือต่อท่านอาลี ซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้ และถ้อยความนี้นอกจากจะไม่มีในคำสอนของอิสลามแล้ว แม้แต่ตัวท่านอาลีเองก็ไม่เคยสั่งสอนหรือใช้ให้เหล่าชีอะฮ์กระทำการเยี่ยงนี้ เพระขณะที่ท่านอาลียังมีชีวิตอยู่ท่านก็เป็นผู้นอบน้อม ไม่เคยยกตนเทียบพระองค์อัลลอฮ์ หรือแม้แต่จะตีเสมอท่านนบี ก็ไม่เคยพบว่าท่านอาลีได้ทำเช่นนั้น แต่ความเลยเถิดของชีอะฮ์ที่เทิดทูนท่านอาลีเช่นนี้ ช่างคล้ายคลึงกับความเชื่อของชาวคริสต์ที่มีต่อพระเยซูเหลือเกิน
              
นอกจากนั้นแล้วเรายังได้เห็นพฤติกรรมของเหล่าชีอะฮ์ที่วิงวอนขอต่อหลุมฝังศพของบรรดาอิหม่าม และบุคคลที่พวกเขาคลั่งไคล้แล้วกล่าวว่า “มะดัด” แปลว่า “โปรดช่วยฉันด้วย” ซึ่งเป็นการทำซิรก์ หมายถึงการตั้งภาคีอย่างชัดเจน, เพราะมันคือการขอความช่วยเหลือต่อผู้อื่นแทนการขอต่อพระองค์อัลเลาะห์
              
หากเราจะทบทวนถึงความเป็นมุสลิม เราจะพบว่า ไม่มีหนทางใดเลยที่มุสลิมจะวิงวอนขอความช่วยเหลือต่อผู้อื่นนอกจากพระองค์อัลลอฮ์ เพราะมุสลิมทุกคนไม่ว่าจะอยู่ที่ใด พูดภาษใดก็ตาม ทุกคนจะประกาศตนทุกครั้งขณะละหมาดด้วยถ้อยความที่อยู่ในซูเราะห์อัลฟาติฮะห์ว่า

اِيَّاكَ نَعْبُدُ وَاِيَّاكَ نَسْتَعِيْنَِ

“เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่พวกเราจะสักการะ และเฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เราจะขอความช่วยเหลือ” (ซูเราะห์อัลฟาติฮะห์ อายะห์ที่ 5)

               ไม่เพียงแต่ชีอะฮ์จะวิงวอนขอต่อท่านอาลีโดยกล่าวว่า “อาลีมะดัด” เท่านั้น แต่พวกเขาจะเอ่ยนามของบรรดาอิหม่ามที่พวกเขาศรัทธาด้วย เช่น “มะฮ์ดีมะดัด” ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว หากพวกเขาเป็นมุสลิม และเป็นผู้ประกาศตนว่าศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์ พวกเขาก็จะต้องวิงวอนขอความช่วยเหลือต่อพระองค์อัลลอฮ์ หรือกล่าวว่า “อัลลอฮ์มะดัด” แต่ไม่เป็นเช่นนั้น ชาวชีอะฮ์กลับประกาศว่าศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์ แต่ตะโกนเรียกหาอิหม่ามของพวกเขาอย่างโหยหวน
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า

وَلا تَدْعُ مِنْ دُوْنِ اللهِ مَالا يَنْفَعُكَ وَلا تَضُرُّكَ فَاِنْ فَعَلْتَ فَاِنَّكَ اِذا مِنَ الظَالِمِيْنَ

“และเจ้าอย่าวิงวอนต่อสิ่งใดที่ไม่สามารถอำนวยประโยชน์และให้โทษได้นอกจากอัลลอฮ์เท่านั้น และหากเจ้าทำเช่นนั้น เจ้าก็เป็นหนึ่งในบรรดาผู้อธรรม”  ซูเราะห์ยูนุส อายะห์ที่ 106

وَاِن يَمْسَسْكَ اللهُ بِضُرّ فَلاَ كَاشِفَ لَهُ اِلاَّ هُوَ وَاِنْ يُرِدْكَ بِخَيْرٍ فَلاَ رَادَّ لِفَضْلِهِ يُصِيْبُ بِهِ مَنْ يَشَاءُ مِنْ عِبَادِهِ وَهُوَ الغَفُوْرُ الرَّحِيْمُ

“และหากพระองค์อัลลอฮ์ทรงให้อันตรายประสบกับใคร ก็ไม่มีผู้ใดปลดเปลื้องมันได้ นอกจากพระองค์เท่านั้น และหากพระองค์ทรงให้ความดีประสบกับใคร ก็ไม่มีผู้ใดขัดขวางความโปรดปรานของพระองค์  โดยพระองค์จะให้ประสบแก่บ่าวของพระองค์ตามที่ประสงค์ และพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ”
  ซูเราะห์ยูนัส อายะห์ที่ 107

              
เมื่อเราได้อ่านข้อความจากอัลกุรอาน ก็พบว่ามันสวนทางกับการกระทำของเหล่าชีอะฮ์อย่างชัดเจน ที่พวกเขาไม่มอบความไว้วางใจต่อพระองค์อัลลอฮ์ พวกเขายังยอมให้มนุษย์และสิ่งถูกสร้างมีพลังอำนาจเทียบเคียงพระองค์อัลลอฮ์ ทั้งๆที่มนุษย์และสิ่งถูกสร้างเหล่านั้นไม่มีพลังแม้จะปกป้องคุ้มครองตัวเอง

قُلْ لاَ أَمْلِكُ لِنَفْسِي نَفْعًا وَلاَ ضَرًّا اِلاَّ مَاشَاءَ اللهُ

“จงกล่าวเถิดว่า ฉันไม่มีอำนาจครอบครองคุณประโยชน์และโทษใดๆ โดยอภิสิทธิ์แก่ตัวฉัน นอกจากสิ่งที่พระองค์อัลลอฮ์ทรงประสงค์เท่านั้น”
 ซูเราะห์อัลอะอ์รอฟ อายะห์ที่ 188

              
แม้กระทั่งท่านนบีของเรายังต้องพึ่งพา, วิงวอน, ขอความช่วยเหลือจากพระองค์อัลลอฮ์  โดยพระองค์อัลลอฮ์ได้ให้ท่านนบีประกาศว่า ท่านนบีไม่มีอำนาจ และไม่สามารถคุ้มครองผู้ใดให้รอดพ้นโดยอภิสิทธิ์  นอกจากที่พระองค์อัลลอฮ์ทรงประสงค์เท่านั้น และถ้าท่านนบีไม่สามารถปกป้องอันตรายต่อตัวท่านเอง แล้วอย่างไรเล่าที่ชีอะฮ์จะพูดว่าท่านอาลีหรือบรรดาอิหม่ามมีอำนาจให้ความคุ้มครองและช่วยเหลือได้
              
อิสลามได้สอนให้มุสลิมเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวในเรื่องการศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์ โดยปฏิเสธการวิงวอนขอต่อสิ่งอื่นคู่กับพระองค์อัลลอฮ์ทั้งหมด ไม่มีรูปบูชา,ไม่มีสัญลักษณ์แทนพระเจ้าในสักการะ หรือการวิงวอนขอ แม้ว่าคนนอกศาสนาบางกลุ่มจะเชื่อว่ารูปบูชา หรือสัญญลักษ์ที่พวกเขาใช้ของคือตัวแทนของพระเจ้าหรือเป็นตัวแทนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาศรัทธาก็ตาม แต่ในที่สุดพวกเขาก็สักการะต่อรูปบูชานั้น หรือสักการะกราบไหว้สัญลักษณ์แทนการสักการะต่อพระเจ้า
              
เช่นเดียวกันกับที่ลัทธิชีอะฮ์กำลังกระทำอยู่ในขณะนี้ พวกเขามีรูปสักการะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นรูปท่านอาลี, หรือรูปครอบครัวของท่าน โดยเฉพาะรูปศรีษะของท่านฮุเซน ที่พวกเขาจินตนาการ  คงต้องย้ำกันอีกครั้งว่ารูปเหล่านั้นไม่ใช่รูปภาพจริง แต่เป็นรูปจินตานาการของพวกเขาทั้งสิ้น แต่ที่สำคัญก็คือมันมีอิทธิพลทำให้เหล่าชีอะฮ์ได้สักการบูชา กราบไหว้รูปเหล่านั้นแทนการสักการะต่อพระองค์อัลลอฮ์
              
ฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยที่เหล่าชีอะฮ์จะร้องไห้คร่ำครวญกับรูปภาพ โดยกล่าวว่า “ยาอาลี” หรือ “ยาฮุเซน” และก็ไม่แปลกอีกเช่นกันที่เราได้เห็นพฤติกรรมของพวกเขาในการจูบหลุมศพ และร้องไห้คร่ำครวญกับหลุมศพ หรือวิงวอนขอต่อผู้ตายในหลุมศพ เมื่อเราตีแผ่พฤติกรรมของพวกเขาซึ่งๆหน้า พวกเขาก็จะปฏิเสธว่า พวกเขาไม่ได้บูชาหรือวิงวอนขอต่อหลุมศพ แต่ข้อเท็จจริงพวกเขาไม่สามารถปฏิเสธถ้อยความที่พวกเขาคร่ำครวญได้คือ อาลีมะดัด “อาลีช่วยด้วย” หรือ ฮุเซนมะดัด “ฮุเซนช่วยด้วย” หรือ มะฮ์ดีมะดัด “มะฮ์ดีช่วยด้วย” เพราะถ้อยความเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคำวิงวอนทั้งสิ้น
              
แม้ชาวชีอะฮ์จะอ้างว่า พวกเขาเพียงต้องการให้คนซอและห์ (คนดี) เหล่านั้นเป็นสื่อในการวิงวอนต่อพระองค์อัลลอฮ์ และไม่มีผู้ใดจะดีไปกว่าบรรดาอิหม่ามของพวกเขา แต่คำพูดนี้ไม่ถูกต้อง เพราะอย่างน้อยที่สุดคนที่ดีกว่าอิหม่ามของพวกเขาคือท่านนบี มูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม และคนดีที่พวกเขาอ้างมานั้นก็คือ บรรดาผู้ที่อยู่ในหลุมศพ และการอ้างเอาคนตายเหล่านั้นเป็นสื่อนั้น มันจะต่างอะไรกับคำอ้างของเหล่ามุชรีกีนที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงนำมาตีแผ่ว่า

وَالَّذِيْنَ اتَّخَذُوا مِنْ دُوْنِهِ أوْلِيَاءَ مَا نَعْبُدُهُمْ اِلاَّ لِيُقَرَبُوْنَا اِلى اللهِ زُلْفَى

“และบรรดาผู้ที่ยึดเอาผู้อื่นเป็นผู้คุ้มครองนอกจากพระองค์อัลลอฮ์ พวกจะกล่าวว่า เราไม่ได้สักการะต่อพวกเขานอกจากเพื่อทำให้เราใกล้ชิดกับพระองค์อัลลอฮ์เท่านั้น” 
ซูเราะห์อัซซูมัร อายะห์ที่ 3

               เราอยากให้ชาวชีอะฮ์ได้ทบทวนว่า หากพวกท่านศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์โดยแท้จริงแล้ว ก็จงหันกลับมาสู่แนวทางที่พระองค์ได้ให้ท่านรอซูลประกาศ ซึ่งเป็นหัวใจของการเป็นมุสลิม คือถ้อยความ “กะลิมะห์เตาฮีด” ที่บรรดามุสลิมทั้งโลกได้ประกาศมันออกมาจากหัวใจที่ศรัทธามั่นว่า ลาอิลาฮ่าอิ้ลลัลลอฮ์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่สักการะนอกจากพระองค์อัลลอฮ์ วะฮ์ดะฮูลาซะรีกะละฮ์  เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นโดยไม่มีภาคีใดๆต่อพระองค์
                พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า

وَقَالَ رَبُّكُمْ اُدْعُوْنِي اسْتَجِبْ لَكُمْ

“และองค์อภิบาลของพวกเจ้าได้กล่าวว่า พวกเจ้าจงวิงวอนขอต่อข้าเถิด ข้าจะตอบรับคำวิงวอนของพวกเจ้าเอง” ซูเราะห์ฆอฟิร อายะห์ที่ 60

                หากพวกท่านยืนยันในการศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์ ท่านสามารถวิงวอนขอต่อพระองค์โดยที่ไม่ต้องวิงวอนขอต่อผู้ตาย หรือให้ผู้ตายเป็นสื่อในการวิงวอนนั้น พระองค์อัลลอฮ์ทรงบอกแก่บรรดาผู้ศรัทธาว่า พระองค์จะตอบรับคำวิงวอนที่ผู้ศรัทธาได้วิงวอนกับพระองค์โดยตรง แต่การวิงวอนขอต่อผู้อื่นถือว่าเป็นการกระทำที่เป็น “ซิกร์” คือการตั้งภาคี ซึ่งเป็นบาปใหญ่ที่จะไม่ได้รับการอภัย
                                พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า

اِنَّ الَّذِيْنَ تَدْعُوْنَ مِنْ دُوْنِ اللهِ عِبَادٌ أمْثَالُكُمْ فَادْعُوْهُمْ فَلْيَسْتَجِيْبُوا لَكُمْ اِنْ كُنْتُمْ صَادِقِيْنَ

“แท้จริงบรรดาผู้ที่พวกเจ้าวิงวอนขอนอกจากอัลลอฮ์นั้นก็คือบ่าวเช่นเดียวกับพวกเจ้า ดังนั้นจงวิงวอนขอต่อพวกเขาไปเถิด แล้วก็ให้พวกเหล่านั้นตอบรับคำวิงวอนของพวกเจ้าด้วย หากว่าพวกเจ้าเป็นผู้สัจจริง”
 ซูเราะห์อัลอะอ์รอฟ อายะห์ที่ 194

                นี่คือคำท้าทายจากพระองค์อัลลอฮ์สำหรับผู้ที่วิงวอนขอต่อสิ่งอื่นที่เป็นสิ่งถูกสร้างเช่นเดียวกัน ทั้งผู้ขอและผู้ถูกขอก็ไม่มีอำนาจให้ความช่วยเหลือใดๆ ได้ พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงเย้ยว่า ให้สิ่งถูกสร้างที่พวกเจ้าวิงวอนตอบรับคำวิงวอนของพวกเจ้าด้วยซิ ถ้าสิ่งนั้นมีอำนาจในการเป็นพระเจ้าในการประทานสิ่งใด แล้วพวกเขาจะเป็นพระเจ้าได้อย่างไรในเมื่อพวกเขาก็เป็นสิ่งถูกสร้างเช่นเดียวกัน               
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า

اِنْ تَدْعُوْهُمْ لاَ يَسْمَعُوا دُعَاءَ كُمْ وَلَوْ سَمِعُوا مَا أسْتَجَابُوا لَكُمْ

“หากพวกเจ้าวิงวอนขอต่อพวกมัน
(สิ่งถูกสร้าง) โดยที่พวกมันไม่ได้ยินการวิงวอนของพวกเจ้าหรอก และหากว่าพวกมันได้ยิน มันก็จะไม่สามารถตอบรับคำวิงวอนของพวกเจ้าได้”  ซูเราะห์ฟาฏิร อายะห์ที่ 14
                                พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า

قُلِ ادْعُوا الَّذِيْنَ زَعَمْتُمْ مِنْ دُوْنِ اللهِ لاَ يَمْلِكُوْنَ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ فِي السَمَاوَاتِ وَلاَ فِي الأرْضِ وَمَا لَهُمْ فِيْهِمَا مِنْ شِرْكٍ وَمَا لَهُ مِنْهُمْ مِنْ ظَهِيْرٍ

“ประกาศเถิดมูฮัมหมัด พวกเจ้าวิงวอนต่อบรรดาที่พวกเจ้าจินตนาการนอกจากอัลลอฮ์  โดยที่พวกมันไม่ได้มีกรรมสิทธิ์แม้แต่ผงธุลีในฟากฟ้าและในแผ่นดิน พวกมันไม่ได้มีสิทธิ์ร่วมใดๆในทั้งสองเลย และมิมีผู้ใดในหมู่พวกมันที่เป็นผู้ช่วยเหลือพระองค์เลย”
 ซูเราะห์สะบะอ์ อายะห์ที่ 22
                พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า

وَاتَّخَذُوا مِنْ دُوْنِهِ آلِهَةً لاَ يَخْلُقُوْنَ شَيْئًا وَهُمْ يُخْلَقُوْنَ وَلاَ يَمْلِكُوْنَ لأِنْفُسِهِمْ ضَرًّا وَلاَ نَفْعًا وَلا َيَمْلِكُوْنَ مَوْتًا وَلاَ حَيَاةً وَلاَ نُشُوْرًا

“พวกเขาได้เอาสิ่งอื่นเป็นพระเจ้านอกจากอัลลอฮ์ ทั้งๆที่พวกเขาไม่ได้สร้างสิ่งใดเลย แต่พวกเขาก็ถูกสร้าง และพวกเขาไม่มีอำนาจใดๆที่จะให้คุณหรือให้โทษแก่ตัวเอง  และพวกเขาก็ไม่มีอำนาจใดที่จะให้เป็นหรือตายหรือให้ฟื้นคืนชีพ”
 ซูเราะห์อัลฟุรกอน อายะห์ที่ 3

               อย่าว่าแต่ท่านอาลีหรือบรรดาอิหม่ามของเหล่าเลย แม้กระทั่งท่านนบีมูฮัมหมัดก็ไม่ได้มีพลังอำนาจในการทำให้ใครเป็นหรือตาย และไม่มีความสามารถทำในการทำให้ผู้ใดฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งในวันกิยาะห์ เพราะเรื่องนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์อัลลอฮ์แต่ผู้เดียว คำพูดเช่นนี้มิใช่เป็นการดูถูกท่านนบีหรือท่านอาลี แต่เป็นคำพูดที่ตรงตามพื้นฐานอะกีดะห์อิสลามียะห์ และเป็นถ้อยความที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ให้ท่านนบีได้ประกาศไว้ในอัลกุรอานตามที่เสนอมาข้างต้น ท่านนบีก็เป็นปุถุชนเพียงแต่ท่านได้รับวะฮีย์ให้ทำหน้าที่ประกาศอิสลาม ท่านไม่ใช่เทพศักดิ์สิทธิ์, ท่านไม่มีอิทธิฤทเหนือมนุษย์ด้วยอำนาจของตัวท่านเอง, ท่านไม่ได้เป็นพระบุตร ดังที่ชาวคริสต์เชื่อว่า พระเยซูคือบุตรของพระเจ้า และนั่นไม่ใช่นบีอีซาตามคำสอนของอิสลาม เพราะนบีอีซาก็คือบ่าวของอัลลอฮ์ และถ้อยความเช่นนี้อาจทำให้  นักบวชของศาสนาคริสต์คิดว่าเรากำลังดูหมิ่นพระเยซู โดยการพูดว่าท่านบ่าว ในขณะที่ชาวคริสต์เทิดเยซูเป็นพระบุตร แต่พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานว่า

لَنْ يَسْتَنْكِفَ المَسِيْحُ أنْ يَكُوْنَ عَبْدًا للهِ وَلاَ المَلاَئِكَةُ المُقَرَّبُوْنَ

“อัลมะเซียะห์
(นบีอีซา) นั้นจะไม่เย่อหยิ่งในการเป็นบ่าวของพระองค์อัลลอฮ์ และบรรดามะลาอิกะห์ผู้ใกล้ชิดของพระองค์ก็เช่นเดียวกัน ซูเราะห์อันนิซาอ์ อายะห์ที่ 172

                ท่านนบีเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ใกล้ชิดต่อพระองค์อัลลอฮ์ที่สำนึกและประกาศอยู่เสมอว่า ท่านคือบ่าวและเป็นปุถุชน และหากชาวชีอะฮ์เชื่อว่า ท่านอาลีเป็นผู้ใกล้ชิดของพระองค์อัลลอฮ์ละก็ เพระเหตุใดจึงยกสถานะของท่านอาลีและบรรดาอิหม่ามของพวกท่านเหนือท่านนบี ซึ่งไม่แตกต่างกับที่ชาวคริสต์ได้ยกสถานะของพระเยซูเป็นพระบุตรเลย
 
                ใครก็ตามที่กล่าวว่า อาลีมะดัด “อาลีช่วยด้วย” นั่นคือการบูชาท่านอาลีทั้งๆที่รู้ว่าท่านอาลีได้ตายไปแล้วและไม่สามารถได้ยินการร้องขอ หรือการวิงวอน และไม่สามรถให้ความช่วยเหลือใดๆ แก่พวกเขาได้ ขอให้รู้เถิดว่าเขากำลังทำซิกร์ใหญ่ เป็นการตั้งภาคีที่นำพาไปสู่การตกมุรตัด (สิ้นสภาพการเป็นมุสลิม) แต่สิ่งที่ชีอะฮ์ได้กระทำอยู่นี้เป็นการเลยเถิดโดยท่านอาลีมิได้รับทราบด้วย และหากพฤติกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ละก็ แน่นอนว่าท่านต้องทำลายความเชื่อและพฤติกรรมเลวทรามอย่างนี้แน่นอน ขอพระองค์อัลลอฮ์ทรงปกป้องท่านอาลีผู้บริสุทธิ์จากการตั้งภาคีของเหล่าชีอะฮ์ด้วยเถิด









สงวนลิขสิทธิ์โดย © อ.ฟารีด เฟ็นดี้ All Right Reserved.

ติดประกาศ: 2007-03-27 (7288 ครั้ง)

[ ย้อนกลับ ]