บรรดาศอฮาบะห์เป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับท่านรอซูล พวกเขาได้อยู่ในเหตุการณ์ที่อัลกุรอานได้ถูกประทานลงมา พวกเขาทราบดีว่าอัลกุรอานแต่ละอายะห์ถูกประทานลงมาเกี่ยวกับเรื่องอะไร พวกเขาได้ฟังคำอธิบายจากท่านนบี ได้ยินคำพูด ได้เห็นการกระทำของท่านนบี ศอ็ลลอ็ลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ด้วยเหตุนี้เหล่าศอฮาบะห์จึงเป็นบุคคลที่มีความรู้,ความเข้าใจในศาสนามากที่สุดถัดจากท่านนบี ศอ็ลลอ็ลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม
เพราะฉะนั้นการยึดถืออัลกุรอานและฮะดีษของท่านนบี จึงต้องอาศัยความเข้าใจของศอฮาบะห์เป็นพื้นฐานในการศึกษา เพื่อจะได้รู้ถึงที่มาและเป้าหมายของอัลกุรอานและซุนนะห์ของท่านนบี แต่ก็มีควาามเพียรพยายามของคนบางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มชีอะห์ (อิหม่ามสิบสอง) ที่นำเอาอัลกุรอานและซุนนะห์ของท่านนบีมาแสดงโดยกระโดดข้ามหัวศอฮาบะห์ ซึ่งเป็นแนวทางของกลุ่มชนนอกรีตที่ต้องการบิดเบือนอัลอิสลาม
เมื่อพวกเขาตัดศอฮาบะห์ของท่านรอซูลออกไป จึงเป็นช่องทางที่พวกเขาจะนำเอาอัลกุรอานและฮะดีษของท่านนบี มาตีความ,ทำความเข้าใจกันเองอย่างที่พวกเขาต้องการ โดยอ้างอิงประวัติศาสตร์ที่พวกเขากุกันขึ้นมาเอง และที่สำคัญก็คือ การกระทำของพวกเขานั้นค้านกับคำสั่งของอัลลอฮ์และรอซูลพระองค์
กลุ่มชีอะห์ (อิหม่ามสิบสอง) ที่ได้กระทำการอย่างอุกอาจ ด้วยการด่าทอ กล่าวประณาม ศอฮาบะห์ของท่านรอซูล และให้ข้อหาแก่พวกเขาว่า ได้ตกมุรตัด (สิ้นสภาพการเป็นมุสลิม) หลังจากท่านรอซูลได้เสียชีวิตไปแล้ว
ท่านนบีมูฮัมหมัด ศอ็ลลอ็ลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
لاَ تَسُبُّوا أَصْحَابِي فَلَوْ أَنَّ أَحَدَكُمْ أَنْفَقَ مِثْلَ أُحُدٍ ذَهَبًا مَا بَلَغَ مُدَّ أَحَدِهِمْ وَلاَ نَصِيْفَهُ
"พวกเจ้าทั้งหลายอย่าได้ด่าประณามศอฮาบะห์ของฉัน เพราะแม้ว่าคนใดในหมู่พวกเจ้าบริจาคทองดั่งภูเขาอุฮุด ก็จะไม่เท่ากับมุดหนึ่ง (ทะนานหนึ่ง) ของพวกเขา หรือกึ่งหนึ่งก็ตาม" รายงานโดย อบูสอี๊ด อัลคุดรีย์ บันทึกโดยอิหม่ามบุคคอรี ฮะดีษเลขที่ 3397
คำของท่านนบีข้างต้นนี้ไม่ใช่เป็นการปรามว่าไม่ควรกระทำ แต่เป็นคำห้ามโดยเด็ดขาด และเป็นการแจ้งให้พวกเราทราบล่วงหน้า ถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการนำเอาศอฮาบะห์ของท่านนบีมาด่าทอ,ประณาม โดยเฉพาะศอฮาบะห์ที่ใกล้ชิดท่านนบี อย่างเช่นท่านอบูบักร์ และท่านอุมัร (ร่อดิยัลลอฮุอันฮุมา)
ท่านนบี มูฮัมหมัด ศอ็ลลอ็ลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า
اِقْتَدُوا بِالَّذَيْنِ مِنْ بَعْدِى أَبِي بَكْر وَعُمَرَ
"พวกเจ้าทั้งหลายจงตามบุคคลทั้งสองต่อจากฉันคือ อบูบักร์และอุมัร" รายงานโดยท่านฮุซัยฟะห์ บันทึกโดยอิหม่ามติรมีซีย์ ฮะดีษเลขที่ 3595
ทั้งๆที่ท่านนบีสั่งให้ตาม แต่กลุ่มชีอะห์ (อิหม่ามสิบสอง) กลับเอาบุคคลทั้งสองนี้มาประณาม ซึ่งความจริงที่พวกเขากระทำกันอยู่นั้น เท่ากับพวกเขาได้หยามและประณามท่านนบีมูฮัมหมัด ศอ็ลลอ็ลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เพราะท่านอบูบักร์ก็คือเพื่อนสนิทและเป็นพ่อตาของท่านนบี ส่วนท่านอุมรัก็เป็นพ่อตาอีกคนหนึ่งของท่านนบีเช่นเดียวกัน
เป็นเรื่องที่น่าอัปยศ เมื่อกลุ่มชีอะห์อิหม่าม (อิหม่ามสิบสอง) ได้ใส่ร้ายศอฮาบะห์ของท่านรอซูลว่า หลังจากท่านรอซูลได้สิ้นชีวิตไปแล้ว เหล่าศอฮาบะห์ได้สิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิมทั้งหมด เหลืออยู่เพียง 4 ท่านเท่านั้นคือ ท่านอาลี อิบนิอบีตอเล็บ, ท่านซัลมาน อัลฟาริซีย์, ท่านมิกดาด และอบูซัรริน อัลฆิฟารีย์
ในขณะที่ท่านนบี มูฮัมหมัด ศอ็ลลอ็ลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวว่า
لاَ يَرْمِي رَجُلٌ رَجُلاً بِالفُسُوْقِ وَلاَ يَرْمِيْهِ بِالكُفْرِ اِلاَّ ارْتَدَّتْ عَليْهِ اِنْ لَمْ يَكُنْ صَاحِبُهُ كَذَلِكَ
"คนใดก็ตามจะไม่ใส่ร้ายผู้อื่นว่า ชั่ว และจะไม่ใส่ร้ายผู้อื่นว่า กาเฟร (ปฏิเสธการศรัทธา) นอกจากตัวเขาเองจะสิ้นสภาพการเป็นมุสลิม หากผู้ถูกใส่ร้ายไม่ได้เป็นดังเช่นที่เขากล่าว" รายงานโดย อบูซัรริน บันทึกโดย อิหม่ามบุคคอรี ฮะดีษเลขที่ 5585
เป็นการเพียงพอแล้วกับคำยืนยันจากท่านนบีว่า เขาจะต้องมีสถานะเป็นการเฟรเสียเองที่ได้ใส่ร้ายมุสลิมด้วยข้อหากาเฟร โดยเฉพาะการใส่ร้ายศอฮาบะห์ของท่านรอซูล ทั้งๆ ที่พวกเขาเหล่านี้เป็นผู้ที่พระองค์อัลลอฮ์ทรงพอพระทัยพวกเขา
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า
وَالسَابِقُوْنَ الأوَّلُوْنَ مِنَ المُهَاجِرِيْنَ وَالأنْصَارِ وَالَّذِيْنَ اتَّبَعُوْهُمْ بِاحْسَانٍ
رَضِىَ اللهُ عَنْهُمْ وَرَضُوا عَنْهُ
"บรรดาบรรพชนรุ่นแรกในหมุ่ผู้อพยพ (มุฮาญีรีน) และบรรดาผู้ให้ความช่วยเหลือ (อันศอร) อีกทั้งบรรดาผู้เจริญรอยตามพวกเขาด้วยความดีนั้น พระองค์อัลลอฮ์ทรงพอพระทัยพวกเขา และพวกเขาก็พอใจต่อพระองค์ด้วย" ซูเราะห์อัตเตาบะห์ อายะห์ที่ 100
لَقَدْ رَضِىَ اللهُ عَنِ الْمُؤْمِنِيْنَ اِذْ يُبَايِعُوْنَكَ تَحْتَ الشَجَرَةِ فَعَلِمَ مَا فِى قُلُوْبِهِمْ
"แน่นอนเหลือเกินว่า พระองค์อัลลอฮ์ทรงพอพระทัยต่อบรรดาผู้ศรัทธา เมื่อครั้งที่พวกเขาได้ให้สัตยาบรรณต่อเจ้า (มูฮัมหมัด) ภายใต้ต้นไม้ ( ณ.ฮุดัยบียะห์) พระองค์ทรงรู้ดีถึงสิ่งที่อยู่ในใจของพวกเขา" ซูเราะห์อัลฟัตฮ์ อายะห์ที่ 18
นี่คือคำยืนยันจากพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านที่แสดงถึงความพอพระทัยของพระองค์อัลลอฮ์ที่มีต่อเหล่าศอฮาบะห์ และเมื่อพระองค์อัลลอฮ์พอพระทัยแล้ว มุสลิมอย่างเราจะก่นด่าพวกเขากระนั้นหรือ เราจะเอาตำราประวัติศาสตร์เล่มใดมาลบล้างวะฮีย์ของอัลลอฮ์
แต่ในที่สุดก็มีคนบางกลุ่มได้หยิบเอาแง่มุมของประวัติศาสตร์ที่ไม่อ้างอิงแหล่งที่มาอย่างถูกต้องมานำหน้า แล้วเอาอัลกุรอานของอัลลอฮ์ไว้เบื้องหลัง
อย่างนี้ไม่เรียกว่าหลงทางแล้วจะเรียกว่าอะไร
สงวนลิขสิทธิ์โดย © อ.ฟารีด เฟ็นดี้ All Right Reserved.