บุคคอรี/หมวดที่3/บทที่44/ฮะดีษเลขที่ 122

 

أَخْبَرَنِي سَعِيدُ بْنُ جُبَيْرٍ، قَالَ قُلْتُ لاِبْنِ عَبَّاسٍ إِنَّ نَوْفًا الْبِكَالِيَّ يَزْعُمُ أَنَّ مُوسَى لَيْسَ بِمُوسَى بَنِي إِسْرَائِيلَ، إِنَّمَا هُوَ مُوسَى آخَرُ‏. فَقَالَ كَذَبَ عَدُوُّ اللَّهِ، حَدَّثَنَا أُبَىُّ بْنُ كَعْبٍ عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم قَالَ " قَامَ مُوسَى النَّبِيُّ خَطِيبًا فِي بَنِي إِسْرَائِيلَ، فَسُئِلَ أَىُّ النَّاسِ أَعْلَمُ فَقَالَ أَنَا أَعْلَمُ‏. فَعَتَبَ اللَّهُ عَلَيْهِ، إِذْ لَمْ يَرُدَّ الْعِلْمَ إِلَيْهِ، فَأَوْحَى اللَّهُ إِلَيْهِ أَنَّ عَبْدًا مِنْ عِبَادِي بِمَجْمَعِ الْبَحْرَيْنِ هُوَ أَعْلَمُ مِنْكَ‏. قَالَ يَا رَبِّ وَكَيْفَ بِهِ فَقِيلَ لَهُ احْمِلْ حُوتًا فِي مِكْتَلٍ فَإِذَا فَقَدْتَهُ فَهْوَ ثَمَّ، فَانْطَلَقَ وَانْطَلَقَ بِفَتَاهُ يُوشَعَ بْنِ نُونٍ، وَحَمَلاَ حُوتًا فِي مِكْتَلٍ، حَتَّى كَانَا عِنْدَ الصَّخْرَةِ وَضَعَا رُءُوسَهُمَا وَنَامَا فَانْسَلَّ الْحُوتُ مِنَ الْمِكْتَلِ فَاتَّخَذَ سَبِيلَهُ فِي الْبَحْرِ سَرَبًا، وَكَانَ لِمُوسَى وَفَتَاهُ عَجَبًا، فَانْطَلَقَا بَقِيَّةَ لَيْلَتِهِمَا وَيَوْمِهِمَا فَلَمَّا أَصْبَحَ قَالَ مُوسَى لِفَتَاهُ آتِنَا غَدَاءَنَا، لَقَدْ لَقِينَا مِنْ سَفَرِنَا هَذَا نَصَبًا، وَلَمْ يَجِدْ مُوسَى مَسًّا مِنَ النَّصَبِ حَتَّى جَاوَزَ الْمَكَانَ الَّذِي أُمِرَ بِهِ‏. فَقَالَ لَهُ فَتَاهُ أَرَأَيْتَ إِذْ أَوَيْنَا إِلَى الصَّخْرَةِ فَإِنِّي نَسِيتُ الْحُوتَ، قَالَ مُوسَى ذَلِكَ مَا كُنَّا نَبْغِي، فَارْتَدَّا عَلَى آثَارِهِمَا قَصَصًا، فَلَمَّا انْتَهَيَا إِلَى الصَّخْرَةِ إِذَا رَجُلٌ مُسَجًّى بِثَوْبٍ ـ أَوْ قَالَ تَسَجَّى بِثَوْبِهِ ـ فَسَلَّمَ مُوسَى‏. فَقَالَ الْخَضِرُ وَأَنَّى بِأَرْضِكَ السَّلاَمُ فَقَالَ أَنَا مُوسَى‏. فَقَالَ مُوسَى بَنِي إِسْرَائِيلَ قَالَ نَعَمْ‏. قَالَ هَلْ أَتَّبِعُكَ عَلَى أَنْ تُعَلِّمَنِي مِمَّا عُلِّمْتَ رَشَدًا قَالَ إِنَّكَ لَنْ تَسْتَطِيعَ مَعِيَ صَبْرًا، يَا مُوسَى إِنِّي عَلَى عِلْمٍ مِنْ عِلْمِ اللَّهِ عَلَّمَنِيهِ لاَ تَعْلَمُهُ أَنْتَ، وَأَنْتَ عَلَى عِلْمٍ عَلَّمَكَهُ لاَ أَعْلَمُهُ‏. قَالَ سَتَجِدُنِي إِنْ شَاءَ اللَّهُ صَابِرًا، وَلاَ أَعْصِي لَكَ أَمْرًا، فَانْطَلَقَا يَمْشِيَانِ عَلَى سَاحِلِ الْبَحْرِ لَيْسَ لَهُمَا سَفِينَةٌ، فَمَرَّتْ بِهِمَا سَفِينَةٌ، فَكَلَّمُوهُمْ أَنْ يَحْمِلُوهُمَا، فَعُرِفَ الْخَضِرُ، فَحَمَلُوهُمَا بِغَيْرِ نَوْلٍ، فَجَاءَ عُصْفُورٌ فَوَقَعَ عَلَى حَرْفِ السَّفِينَةِ، فَنَقَرَ نَقْرَةً أَوْ نَقْرَتَيْنِ فِي الْبَحْرِ‏. فَقَالَ الْخَضِرُ يَا مُوسَى، مَا نَقَصَ عِلْمِي وَعِلْمُكَ مِنْ عِلْمِ اللَّهِ إِلاَّ كَنَقْرَةِ هَذَا الْعُصْفُورِ فِي الْبَحْرِ‏. فَعَمَدَ الْخَضِرُ إِلَى لَوْحٍ مِنْ أَلْوَاحِ السَّفِينَةِ فَنَزَعَهُ‏. فَقَالَ مُوسَى قَوْمٌ حَمَلُونَا بِغَيْرِ نَوْلٍ، عَمَدْتَ إِلَى سَفِينَتِهِمْ فَخَرَقْتَهَا لِتُغْرِقَ أَهْلَهَا قَالَ أَلَمْ أَقُلْ إِنَّكَ لَنْ تَسْتَطِيعَ مَعِيَ صَبْرًا قَالَ لاَ تُؤَاخِذْنِي بِمَا نَسِيتُ‏. فَكَانَتِ الأُولَى مِنْ مُوسَى نِسْيَانًا‏. فَانْطَلَقَا فَإِذَا غُلاَمٌ يَلْعَبُ مَعَ الْغِلْمَانِ، فَأَخَذَ الْخَضِرُ بِرَأْسِهِ مِنْ أَعْلاَهُ فَاقْتَلَعَ رَأْسَهُ بِيَدِهِ‏. فَقَالَ مُوسَى أَقَتَلْتَ نَفْسًا زَكِيَّةً بِغَيْرِ نَفْسٍ قَالَ أَلَمْ أَقُلْ لَكَ إِنَّكَ لَنْ تَسْتَطِيعَ مَعِيَ صَبْرًا ـ قَالَ ابْنُ عُيَيْنَةَ وَهَذَا أَوْكَدُ ـ فَانْطَلَقَا حَتَّى إِذَا أَتَيَا أَهْلَ قَرْيَةٍ اسْتَطْعَمَا أَهْلَهَا، فَأَبَوْا أَنْ يُضَيِّفُوهُمَا، فَوَجَدَا فِيهَا جِدَارًا يُرِيدُ أَنْ يَنْقَضَّ فَأَقَامَهُ‏. قَالَ الْخَضِرُ بِيَدِهِ فَأَقَامَهُ‏. فَقَالَ لَهُ مُوسَى لَوْ شِئْتَ لاَتَّخَذْتَ عَلَيْهِ أَجْرًا‏. قَالَ هَذَا فِرَاقُ بَيْنِي وَبَيْنِكَ "‏‏. قَالَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم " يَرْحَمُ اللَّهُ مُوسَى، لَوَدِدْنَا لَوْ صَبَرَ حَتَّى يُقَصَّ عَلَيْنَا مِنْ أَمْرِهِمَا "‏‏.  

               
สะอี๊ด บินญุบัยร์ ได้เล่าให้ฉัน (อัมร์) ฟังว่า ฉันได้กล่าวกับ อิบนิอับบาส ว่า แท้จริง เนาฟ์ อัลบะกาลี ได้อ้างว่า แท้จริงมูซา (ที่เดินทางร่วมกับค่อดิร) ไม่ใช่มูซาที่ถูกส่งมาในกลุ่มชนของบนีอิสรออีล หากแต่เป็นอีกคนหนึ่ง อิบนิอับบาสกล่าวว่า โกหก, เขา (เนาฟ์) เป็นศัตรูของอัลลฮ์
                 อุบัย บินกะอบ์ ได้เล่าให้เราฟัง โดยนำมาจากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮูอลัยฮิวะซัลลัม ว่า ครั้งหนึ่งมูซาผู้เป็นนบีได้ยืนกล่าวแสดงธรรมท่ามกลางชาวบนีอิสรออีล และเขาถูกถามว่า มนุษย์คนใดที่มีความรอบรู้ที่สุด เขาตอบว่า ข้าเองที่รู้ดีที่สุด ดังนั้นพระองค์อัลลอฮ์จึงทรงตำหนิเขาว่าเขามิได้มีความรอบรู้ที่สุด พระองค์อัลลอฮ์ได้ดลใจเให้เขารู้ว่า แท้จริงมีบ่าวผู้หนึ่งในปวงบ่าวของข้า ที่จุดบรรจบระหว่างสองทะเล เขาเป็นรู้ที่รู้ดีกว่าเจ้า เขา (มูซา) กล่าวว่า โอ้องค์อภิบาลของข้าเอ๋ย ข้าจะได้พบกับเขาได้อย่งไร ?  มีเสียงกล่าวตอบเขาว่า จงแบกปลาในกระจาดนี้ไปตามหาเขา เมื่อปลาหมดเจ้าก็จะได้พบเขา ดังนั้นมูซาจึงได้ออกไปหาเขาพร้อมกับเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งคือ ยูซะอ์ บินนูน โดยแบกกระจาดปลาไปด้วย จนกระทั่งมาถึงก้อนหิน เขาทั้งสองจึงพาดหัวนอนแล้วหลับไป ดังนั้นปลาจึงเกือกออมาจากกระจาด แล้วกระเสือกกระสนลงทะเลไป
                ทั้งมูซาและเด็กหนุ่มที่ไปกับเขาด้วยต่างประหลาดใจ แต่พวกเขายังคงมุ่งหน้าต่อไปทั้งวันทั้งคืน ครั้นเมื่อยามรุ่งเช้า มูซาได้กล่าวแก่เด็กหนุ่มคนนั้นว่า นำอาหารเช้าของพวกเรามา, พวกเราประสบลำบากกับการเดินทางของเราในครั้งนี้ แต่มูซาไม่ได้รู้สึกเหนื่อยยังคงมุ่งหน้าต่อไปจนกระทั่งเลยสถานที่,ที่เขาถูกให้ค้นหา  ขณะนั้นชายหนุ่มที่ร่วมเดินทางได้บอกกับมูซาว่า  ท่านจำได้ไหม ตอนที่เราแวะพักที่ก้อนหินฉันลืมเรื่องปลาอย่างสนิท  มูซาจึงกล่าวว่า นั่นแหละคือสิ่งที่พวกเราตามหา ฉะนั้นทั้งสองจึงย้อนกลับทางเดิม จนกระทั่งมาถึงก้อนหิน เขาได้พบชายผู้หนึ่งที่ห่มผ้าอยู่ (หรือพันตัวด้วยกับเสื้อผ้าของเขา)  มูซาจึงได้สลามกับเขา  ค่อดิรกล่าวว่า คำสลามนี้อยู่บนแผ่นดินของท่านด้วยหรือ ? มูซากล่าวว่า ฉันคือมูซา  เขาถามว่า มูซาจากบนีอิสรออีลหรือ ? มูซาตอบว่า ถูกต้องแล้ว เขากล่าวต่อไปว่า ฉันขอติดตามท่านเพื่อว่าท่านจะได้สอนและแนะนำฉันในสิ่งที่ท่านได้รับรู้มา เขาตอบว่า ท่านไม่สามารถที่จะอดทนกับฉันได้หรอก, โอ้มูซาเอ๋ย ฉันมีความรู้อย่างหนึ่งจากความรอบรู้ของอัลลอฮ์ ซึ่งพระองค์ได้สอนฉัน ซึ่งท่านไม่รู้,  ขณะที่ท่านมีความรู้อีกอย่างหนึ่งซึ่งพระองค์ได้สอนท่าน แต่ฉันไม่รู้  มูซากล่าวว่า แล้วท่านจะพบว่าฉันเป็นผู้ที่อดทน อินชาอัลลอฮ์ (ในการร่วมเดินทางไปกับท่านด้วย) โดยฉันจะไม่ฝืนคำสั่งท่านแน่นอน
                ดังนั้นทั้งสองจึงได้ออกเดินไปตามชายทะเล โดยทั้งสองไม่มีเรือ, ระหว่างนั้นมีเรือลำหนึ่งเข้ามา พวกเขาจึงเจรจาขอโดยสารไปด้วย ซึ่งเขารู้จักค่อดิรดีดังนั้นเขาจึงได้ให้ทั้งสองขึ้นเรือไปโดยไม่คิดค่าโดยสาร  มีนกกระจอกตัวหนึ่งมาเกาะที่ขอบเรือแล้มันจุ่มจะงอยของมันของมันครั้งหนึ่งหรือสองครั้งในทะเล  ค่อดิรกล่าวว่า โอ้มูซาเอ๋ย  ความรู้ของฉันและความรู้ของท่านที่อัลลอฮ์มอบให้นั้น ไม่ได้ทำให้ความรู้ของอัลลอฮ์พร่องไป ดั่งนกกระจอกที่จิบน้ำในทะเล หลังจากนั้นค่อดิรได้ตรงไปที่แผ่นกระดานเรือแล้วงัดมันออก มูซากล่าวว่า พวกเขาให้เราโดยสารมาด้วยโดยไม่คิดค่าโดยสาร แต่ท่านกลับทำให้เรือของพวกเขาชำรุดโดยเจาะท้องเรือ เพื่อให้คนบนเรือจมน้ำอย่างนั้นหรือ เขาตอบว่า ฉันไม่บอกกับท่านก่อนหรือว่า ท่านไม่สามรถที่จะอดทนกับฉันได้  มูซาตอบว่า อย่าถือโทษฉันในสิ่งที่ฉันลืมเลย  นี่คือประการแรกที่มูซาได้ลืม
                เมื่อทั้งสองขึ้นเรือ ก็พบเด็กคนหนึ่งกำลังเล่นอยู่กับเด็กคนอื่นๆ ค่อดิรได้เข้าไปจับกระหม่อมของเด็กนั้น แล้วกระชากหัวของเด็กนั้นด้วยมือของเขา (จนเด็กนั้นเสียชีวิต)  มูซากล่าวว่า ท่านได้ฆ่าชีวิตบริสุทธิ์ที่ไร้เดียงสาหรือ เขากล่าวว่า ฉันไม่ได้บอกกับท่านก่อนหรือว่า ท่านไม่สามารถที่จะอดทนต่อฉันได้
                แล้วทั้งสองก็เดินต่อไปจนกระทั่งมาถึงหมู่บ้าน เขาเข้าไปขออาหารคนในหมู่บ้าน แต่พวกเขาปฏิเสธที่จะรับทั้งสองเป็นแขก  และทั้งสองพบว่าในหมู่บ้านนั้นมีกำแพง เขาปรารถนาที่จะให้มันชำรุดเพื่อจะซ่อมแซมมัน ค่อดิรกล่าวว่า เขาจะซ่อมแซมมันด้วยมือของเขา มูซาได้กล่าวกับเขาว่า ถ้าท่านประสงค์เช่นนั้น ท่านต้องได้ค่าจ้างแน่นอน เขากล่าวว่า นี่คือการแยกระหว่างฉันกับท่าน
                ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า ขออัลลอฮ์ทรงเมตตาต่อมูซาด้วยเถิด เขามีความอดทนในเรียนรู้เรื่องราวจากค่อดิร จนกระทั่งเรื่องของทั้งสองถูกเล่าให้เราฟัง

             



ฮะดีษนี้มาจาก อ.ฟารีด เฟ็นดี้
http://www.fareedfendy.com

URL สำหรับเรื่องนี้คือ:
http://www.fareedfendy.com/modules.php?name=Sections2&op=viewarticle2&artid=338