มุสลิม/หมวดที่1/บทที่83/ฮะดีษเลขที่ 0352
عَنْ أَبِي سَعِيدٍ الْخُدْرِيِّ، أَنَّ نَاسًا، فِي زَمَنِ رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم قَالُوا يَا رَسُولَ اللَّهِ هَلْ نَرَى رَبَّنَا يَوْمَ الْقِيَامَةِ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ نَعَمْ ‏"‏ ‏.‏ قَالَ ‏"‏ هَلْ تُضَارُّونَ فِي رُؤْيَةِ الشَّمْسِ بِالظَّهِيرَةِ صَحْوًا لَيْسَ مَعَهَا سَحَابٌ وَهَلْ تُضَارُّونَ فِي رُؤْيَةِ الْقَمَرِ لَيْلَةَ الْبَدْرِ صَحْوًا لَيْسَ فِيهَا سَحَابٌ ‏"‏ ‏.‏ قَالُوا لاَ يَا رَسُولَ اللَّهِ ‏.‏ قَالَ ‏"‏ مَا تُضَارُّونَ فِي رُؤْيَةِ اللَّهِ تَبَارَكَ وَتَعَالَى يَوْمَ الْقِيَامَةِ إِلاَّ كَمَا تُضَارُّونَ فِي رُؤْيَةِ أَحَدِهِمَا إِذَا كَانَ يَوْمُ الْقِيَامَةِ أَذَّنَ مُؤَذِّنٌ لِيَتَّبِعْ كُلُّ أُمَّةٍ مَا كَانَتْ تَعْبُدُ ‏.‏ فَلاَ يَبْقَى أَحَدٌ كَانَ يَعْبُدُ غَيْرَ اللَّهِ سُبْحَانَهُ مِنَ الأَصْنَامِ وَالأَنْصَابِ إِلاَّ يَتَسَاقَطُونَ فِي النَّارِ حَتَّى إِذَا لَمْ يَبْقَ إِلاَّ مَنْ كَانَ يَعْبُدُ اللَّهَ مِنْ بَرٍّ وَفَاجِرٍ وَغُبَّرِ أَهْلِ الْكِتَابِ فَيُدْعَى الْيَهُودُ فَيُقَالُ لَهُمْ مَا كُنْتُمْ تَعْبُدُونَ قَالُوا كُنَّا نَعْبُدُ عُزَيْرَ ابْنَ اللَّهِ ‏.‏ فَيُقَالُ كَذَبْتُمْ مَا اتَّخَذَ اللَّهُ مِنْ صَاحِبَةٍ وَلاَ وَلَدٍ فَمَاذَا تَبْغُونَ قَالُوا عَطِشْنَا يَا رَبَّنَا فَاسْقِنَا ‏.‏ فَيُشَارُ إِلَيْهِمْ أَلاَ تَرِدُونَ فَيُحْشَرُونَ إِلَى النَّارِ كَأَنَّهَا سَرَابٌ يَحْطِمُ بَعْضُهَا بَعْضًا فَيَتَسَاقَطُونَ فِي النَّارِ ‏.‏ ثُمَّ يُدْعَى النَّصَارَى فَيُقَالُ لَهُمْ مَا كُنْتُمْ تَعْبُدُونَ قَالُوا كُنَّا نَعْبُدُ الْمَسِيحَ ابْنَ اللَّهِ ‏.‏ فَيُقَالُ لَهُمْ كَذَبْتُمْ ‏.‏ مَا اتَّخَذَ اللَّهُ مِنْ صَاحِبَةٍ وَلاَ وَلَدٍ ‏.‏ فَيُقَالُ لَهُمْ مَاذَا تَبْغُونَ فَيَقُولُونَ عَطِشْنَا يَا رَبَّنَا فَاسْقِنَا ‏.‏ - قَالَ - فَيُشَارُ إِلَيْهِمْ أَلاَ تَرِدُونَ فَيُحْشَرُونَ إِلَى جَهَنَّمَ كَأَنَّهَا سَرَابٌ يَحْطِمُ بَعْضُهَا بَعْضًا فَيَتَسَاقَطُونَ فِي النَّارِ حَتَّى إِذَا لَمْ يَبْقَ إِلاَّ مَنْ كَانَ يَعْبُدُ اللَّهَ تَعَالَى مِنْ بَرٍّ وَفَاجِرٍ أَتَاهُمْ رَبُّ الْعَالَمِينَ سُبْحَانَهُ وَتَعَالَى فِي أَدْنَى صُورَةٍ مِنَ الَّتِي رَأَوْهُ فِيهَا ‏.‏ قَالَ فَمَا تَنْتَظِرُونَ تَتْبَعُ كُلُّ أُمَّةٍ مَا كَانَتْ تَعْبُدُ ‏.‏ قَالُوا يَا رَبَّنَا فَارَقْنَا النَّاسَ فِي الدُّنْيَا أَفْقَرَ مَا كُنَّا إِلَيْهِمْ وَلَمْ نُصَاحِبْهُمْ ‏.‏ فَيَقُولُ أَنَا رَبُّكُمْ ‏.‏ فَيَقُولُونَ نَعُوذُ بِاللَّهِ مِنْكَ لاَ نُشْرِكُ بِاللَّهِ شَيْئًا - مَرَّتَيْنِ أَوْ ثَلاَثًا - حَتَّى إِنَّ بَعْضَهُمْ لَيَكَادُ أَنْ يَنْقَلِبَ ‏.‏ فَيَقُولُ هَلْ بَيْنَكُمْ وَبَيْنَهُ آيَةٌ فَتَعْرِفُونَهُ بِهَا فَيَقُولُونَ نَعَمْ ‏.‏ فَيُكْشَفُ عَنْ سَاقٍ فَلاَ يَبْقَى مَنْ كَانَ يَسْجُدُ لِلَّهِ مِنْ تِلْقَاءِ نَفْسِهِ إِلاَّ أَذِنَ اللَّهُ لَهُ بِالسُّجُودِ وَلاَ يَبْقَى مَنْ كَانَ يَسْجُدُ اتِّقَاءً وَرِيَاءً إِلاَّ جَعَلَ اللَّهُ ظَهْرَهُ طَبَقَةً وَاحِدَةً كُلَّمَا أَرَادَ أَنْ يَسْجُدَ خَرَّ عَلَى قَفَاهُ ‏.‏ ثُمَّ يَرْفَعُونَ رُءُوسَهُمْ وَقَدْ تَحَوَّلَ فِي صُورَتِهِ الَّتِي رَأَوْهُ فِيهَا أَوَّلَ مَرَّةٍ فَقَالَ أَنَا رَبُّكُمْ ‏.‏ فَيَقُولُونَ أَنْتَ رَبُّنَا ‏.‏ ثُمَّ يُضْرَبُ الْجِسْرُ عَلَى جَهَنَّمَ وَتَحِلُّ الشَّفَاعَةُ وَيَقُولُونَ اللَّهُمَّ سَلِّمْ سَلِّمْ ‏"‏ ‏.‏ قِيلَ يَا رَسُولَ اللَّهِ وَمَا الْجِسْرُ قَالَ ‏"‏ دَحْضٌ مَزِلَّةٌ ‏.‏ فِيهِ خَطَاطِيفُ وَكَلاَلِيبُ وَحَسَكٌ تَكُونُ بِنَجْدٍ فِيهَا شُوَيْكَةٌ يُقَالُ لَهَا السَّعْدَانُ فَيَمُرُّ الْمُؤْمِنُونَ كَطَرْفِ الْعَيْنِ وَكَالْبَرْقِ وَكَالرِّيحِ وَكَالطَّيْرِ وَكَأَجَاوِيدِ الْخَيْلِ وَالرِّكَابِ فَنَاجٍ مُسَلَّمٌ وَمَخْدُوشٌ مُرْسَلٌ وَمَكْدُوسٌ فِي نَارِ جَهَنَّمَ ‏.‏ حَتَّى إِذَا خَلَصَ الْمُؤْمِنُونَ مِنَ النَّارِ فَوَالَّذِي نَفْسِي بِيَدِهِ مَا مِنْكُمْ مِنْ أَحَدٍ بِأَشَدَّ مُنَاشَدَةً لِلَّهِ فِي اسْتِقْصَاءِ الْحَقِّ مِنَ الْمُؤْمِنِينَ لِلَّهِ يَوْمَ الْقِيَامَةِ لإِخْوَانِهِمُ الَّذِينَ فِي النَّارِ يَقُولُونَ رَبَّنَا كَانُوا يَصُومُونَ مَعَنَا وَيُصَلُّونَ وَيَحُجُّونَ ‏.‏ فَيُقَالُ لَهُمْ أَخْرِجُوا مَنْ عَرَفْتُمْ ‏.‏ فَتُحَرَّمُ صُوَرُهُمْ عَلَى النَّارِ فَيُخْرِجُونَ خَلْقًا كَثيرًا قَدْ أَخَذَتِ النَّارُ إِلَى نِصْفِ سَاقَيْهِ وَإِلَى رُكْبَتَيْهِ ثُمَّ يَقُولُونَ رَبَّنَا مَا بَقِيَ فِيهَا أَحَدٌ مِمَّنْ أَمَرْتَنَا بِهِ ‏.‏ فَيَقُولُ ارْجِعُوا فَمَنْ وَجَدْتُمْ فِي قَلْبِهِ مِثْقَالَ دِينَارٍ مِنْ خَيْرٍ فَأَخْرِجُوهُ ‏.‏ فَيُخْرِجُونَ خَلْقًا كَثِيرًا ثُمَّ يَقُولُونَ رَبَّنَا لَمْ نَذَرْ فِيهَا أَحَدًا مِمَّنْ أَمَرْتَنَا ‏.‏ ثُمَّ يَقُولُ ارْجِعُوا فَمَنْ وَجَدْتُمْ فِي قَلْبِهِ مِثْقَالَ نِصْفِ دِينَارٍ مِنْ خَيْرٍ فَأَخْرِجُوهُ ‏.‏ فَيُخْرِجُونَ خَلْقًا كَثِيرًا ثُمَّ يَقُولُونَ رَبَّنَا لَمْ نَذَرْ فِيهَا مِمَّنْ أَمَرْتَنَا أَحَدًا ‏.‏ ثُمَّ يَقُولُ ارْجِعُوا فَمَنْ وَجَدْتُمْ فِي قَلْبِهِ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ مِنْ خَيْرٍ فَأَخْرِجُوهُ ‏.‏ فَيُخْرِجُونَ خَلْقًا كَثِيرًا ثُمَّ يَقُولُونَ رَبَّنَا لَمْ نَذَرْ فِيهَا خَيْرًا ‏"‏ ‏.‏ وَكَانَ أَبُو سَعِيدٍ الْخُدْرِيُّ يَقُولُ إِنْ لَمْ تُصَدِّقُونِي بِهَذَا الْحَدِيثِ فَاقْرَءُوا إِنْ شِئْتُمْ ‏{‏ إِنَّ اللَّهَ لاَ يَظْلِمُ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ وَإِنْ تَكُ حَسَنَةً يُضَاعِفْهَا وَيُؤْتِ مِنْ لَدُنْهُ أَجْرًا عَظِيمًا‏}‏ ‏"‏ فَيَقُولُ اللَّهُ عَزَّ وَجَلَّ شَفَعَتِ الْمَلاَئِكَةُ وَشَفَعَ النَّبِيُّونَ وَشَفَعَ الْمُؤْمِنُونَ وَلَمْ يَبْقَ إِلاَّ أَرْحَمُ الرَّاحِمِينَ فَيَقْبِضُ قَبْضَةً مِنَ النَّارِ فَيُخْرِجُ مِنْهَا قَوْمًا لَمْ يَعْمَلُوا خَيْرًا قَطُّ قَدْ عَادُوا حُمَمًا فَيُلْقِيهِمْ فِي نَهْرٍ فِي أَفْوَاهِ الْجَنَّةِ يُقَالُ لَهُ نَهْرُ الْحَيَاةِ فَيَخْرُجُونَ كَمَا تَخْرُجُ الْحِبَّةُ فِي حَمِيلِ السَّيْلِ أَلاَ تَرَوْنَهَا تَكُونُ إِلَى الْحَجَرِ أَوْ إِلَى الشَّجَرِ مَا يَكُونُ إِلَى الشَّمْسِ أُصَيْفِرُ وَأُخَيْضِرُ وَمَا يَكُونُ مِنْهَا إِلَى الظِّلِّ يَكُونُ أَبْيَضَ ‏"‏ ‏.‏ فَقَالُوا يَا رَسُولَ اللَّهِ كَأَنَّكَ كُنْتَ تَرْعَى بِالْبَادِيَةِ قَالَ ‏"‏ فَيَخْرُجُونَ كَاللُّؤْلُؤِ فِي رِقَابِهِمُ الْخَوَاتِمُ يَعْرِفُهُمْ أَهْلُ الْجَنَّةِ هَؤُلاَءِ عُتَقَاءُ اللَّهِ الَّذِينَ أَدْخَلَهُمُ اللَّهُ الْجَنَّةَ بِغَيْرِ عَمَلٍ عَمِلُوهُ وَلاَ خَيْرٍ قَدَّمُوهُ ثُمَّ يَقُولُ ادْخُلُوا الْجَنَّةَ فَمَا رَأَيْتُمُوهُ فَهُوَ لَكُمْ ‏.‏ فَيَقُولُونَ رَبَّنَا أَعْطَيْتَنَا مَا لَمْ تُعْطِ أَحَدًا مِنَ الْعَالَمِينَ ‏.‏ فَيَقُولُ لَكُمْ عِنْدِي أَفْضَلُ مِنْ هَذَا فَيَقُولُونَ يَا رَبَّنَا أَىُّ شَىْءٍ أَفْضَلُ مِنْ هَذَا ‏.‏ فَيَقُولُ رِضَاىَ فَلاَ أَسْخَطُ عَلَيْكُمْ بَعْدَهُ أَبَدًا ‏"  

 
                อบูสะอี๊ด อัลคุดรีย์ รายงานว่า มีบรรดาผู้คนในยุคของท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม  ได้กล่าวว่า โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ์ พวกเราจะเห็นองค์อภิบาลของพวกเราในวันกิยาะห์ไหม ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ตอบว่า พวกเจ้าเคยดวงอาทิตย์แจ่มจรัสโดยไม่มีเมฆบดบังไหม และพวกเจ้าเคยเห็นจันทร์กระจ่างในคืนจันทร์เพ็ญที่ไม่มีเมฆบดบังไหม พวกเขาตอบว่า ไม่เคยเห็นครับ ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ ท่านกล่าวว่า จะไม่มีสิ่งใดบดบังพวกเจ้าการเห็นพระองค์อัลลอฮ์ ผู้ทรงจำเริญและสูงส่งในวันกิยามะห์ นอกจากที่พวกเจ้าถูกบดบังในการเห็นดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์
                ในวันกิยามะห์นั้นผู้ประกาศ จะประกาศให้ทุกประชาชาติตามสิ่งที่พวกเขาสักการะ โดยจะไม่มีผู้ใดที่สักการะสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ์เหลืออยู่เลย ทั้งพวกที่สักการะเจว็ด และสิ่งที่ถูกบูชายันต์ นอกจากพวกเขาจะตกนรก และเมื่อไม่มีผู้ใดหลงเหลืออยู่ยกเว้นผู้ที่สักการะต่อพระองค์อัลลอฮ์ แต่ภาพลวงและสะสมความชั่ว จะถูกกักตัวไว้จากชาวคัมภีร์ ในส่วนของพวกยะฮูดนั้นจะถูกเรียก และมีเสียงกล่าวแก่พวกเขาว่า สิ่งใดที่พวกเจ้าสักการะ พวกเขาจะตอบว่า พวกเราสักการ อุซัยร์ บุตรของอัลลอฮ์ ดังนั้นจึงมีเสียงกล่าวแก่พวกเขาว่า พวกเจ้าโกหก พระองค์อัลลอฮ์มิได้มีคู่สมรสและพระองค์มิทรงมีบุตร  และสิ่งใดที่พวกเจ้าต้องการตอนนี้ พวกเขากล่าวว่า พวกเรากระหาย โอ้องค์อภิบาลของพวกเรา ได้โปรดให้น้ำดื่มแก่พวกเราด้วยเถิด ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับการชี้แนะว่าทำไม่ไปที่แหล่งน้ำ แล้วพวกเขาจึงกรูกันไปแต่ที่จริงแล้วมันคือขุมนรก ซึ่งความร้อนของมันเป็นภาพลวงระยิบระยับ (ที่พวกเขามองเห็นอยู่เบื้องหน้าโดยคิดว่าเป็นแอ่งน้ำ) ที่เปลวเพลิงของมันลุกลามซึ่งกันและกัน ดังนั้นพวกจึงต่างก็ตะกายลงนรก
                ต่อจากนั้นชาวนะศอรอ ได้ถูกเรียกมาแล้วก็ถูกถามว่า พวกเจ้าสักการะต่อสิ่งใด พวกเขาตอบว่า พวกเราสักการะต่อ อัลมะเซียะห์ พระบุตรแห่งอัลลอฮ์ ดังนั้นจึงมีเสียงกล่าวแก่เขาว่า พวกเจ้าโกหก พระองค์อัลลอฮ์ไม่มีคูสมรส และพระองค์ไม่ทรงมีบุตร  จากนั้นพวกเขาก็จะถูกถามว่า พวกเจ้าต้องการอะไร พวกเขาจะตอบว่า พวกเรากระหาย โอ้องค์อภิบาลของเราเอ๋ย ได้โปรดให้น้ำดื่มแก่พวกเราเถิด  ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับการชี้แนะว่าทำไม่ไปที่แหล่งน้ำ แล้วพวกเขาจึงกรูกันไปแต่ที่จริงแล้วมันคือขุมนรก ซึ่งความร้อนของมันเป็นภาพลวงระยิบระยับ (ที่พวกเขามองเห็นอยู่เบื้องหน้าโดยคิดว่าเป็นแอ่งน้ำ) ที่เปลวเพลิงของมันลุกลามซึ่งกันและกัน ดังนั้นพวกจึงต่างก็ตะกายลงนรกจนหมดสิ้น  นอกจากคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ แบบไม่จริงจังและสะสมความชั่ว ดังนั้นองค์อภิบาลแห่งโลกทั้งผอง มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ผู้ทรงสูงส่ง ได้มาหาพวกเขาในรูปลักษณ์ของผู้ที่พวกเขาคุ้นเคย (เพื่อทดสอบพวกเขา) โดยได้กล่าวแก่พวกเขาว่า พวกเจ้ารอคอยสิ่งใดกัน เพราะทุกประชาชาติต่างก็ตามในสิ่งที่พวกเขาสักการะไปแล้ว พวกเขากล่าวว่า  โอ้องค์อภิบาลของเราเอ๋ย ตอนที่เราอยู่ในโลกดุนยานั้น พวกเราได้แยกตัวออกจากผู้คนโดยพวกเราไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเขาและไม่คบหาสมาคมกับพวกเขาเหล่านั้น แล้วผู้ที่พวกเขาคุ้นเคยก็จะกล่าวว่า ข้าคือองค์อภิบาลของพวกเจ้า แต่พวกเขากล่าวว่า เราขอความคุ้มครองต่อพระองค์อัลลอฮ์ให้พ้นจากการล่อลวงของท่าน พวกเราจะไม่นำสิ่งใดมาเป็นภาคีต่ออัลลอฮ์ พวกเขากล่าวเช่นนี้สองถึงสามครั้ง แต่มีพวกเขาบางคนเกือบจะย้อนกลับ ผู้ที่พวกเขาคุ้นเคยจะกล่าวว่า ระหว่างพวกเจ้ากับพระเจ้าของเจ้านั้นมีเครื่องหมายใดที่จะทำให้พวกเจ้ารู้ได้ พวกเขากล่าวว่า มีซิ  หลังจากนั้นพระองค์อัลลอฮ์ก็เผยแก่พวกเขาถึงความน่าเกรงขาม ดังนั้นผู้ที่สุญูดต่ออัลลอฮ์  (ในดุนยา) ด้วยศรัทธาจึงได้รับอนุมัติให้สุญูดกันทุกคนจนไม่มีผู้ใดเหลืออยู่เลย แต่ผู้ที่เคยสุญูดต่ออัลลอฮ์ด้วยความเกรงผู้อื่นหรือเพื่อการโอ้อวดนั้น จะไม่มีผู้ใดทำการสุญูดได้ เพราะอัลลอฮ์จะทำให้หลังของเขา (กับอวัยวะส่วนอื่น) ติดเป็นแผ่นเดียวกัน และคราใดที่พวกเขาต้องการสุญูด มันก็จะทำให้เขาคะมำทุกครั้งไป เมื่อพวกเขาพะงกศีรษะของพวกเขาขึ้นมา  พระองค์ก็จะทรงเปลี่ยนไปในรูปของคนที่พวกเขาคุ้นเคยในตอนแรก แล้วกล่าวกับพวกเขาว่า ข้าคือองค์อภิบาลของพวกเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงกล่าวว่า ใช่แล้วท่านคือองค์อภิบาลของพวกเรา หลังจากนั้นสะพานจะถูกทอดผ่านระหว่างขุมนรกญะฮันนัม ซึ่งตอนนั้นซะฟาอะห์ (ความช่วยเหลือ) จะได้รับการอนุมัติ (บรรดานบีต่างก็จะขอความช่วยเหลือให้แก่ประชาชาติของเขา) พวกเขาจะกล่าวว่า โอ้พระองค์อัลลอฮ์ ขอให้ปลอดภัยเถิด ขอให้ปลอดภัยเถิด

                มีผู้ถามว่า โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ์ สะพานนั้นเป็นเช่นใด ท่านตอบว่า สะพานนั้นจะลื่นมาก และจะมีที่เกี่ยวกับตะขอมีหนาม เหมือนกับต้นไม้มีหนามในนัจญด์ ซึ่งเรียกกันว่า ต้นซะอ์ดาน นั่นแหละ  ซึ่งบรรดาผู้ศรัทธาจะข้ามผ่านไปดั่งชั่วกระพริบตา เหมือนสายฟ้าแลบ,เหมือนลมพัดผ่าน,เหมือนนก,เหมือนม้าเร็ว,เหมือนดั่งขี่อูฐ (ลดหลั่นกันลงมา) บางคนก็ปลอดภัย, บางคนจะถูกเกี่ยวจนฉีกขาดแต่ก็ผ่านไปได้, และบางคนก็ถูกเกี่ยวลงนรกญะฮันนัม แม้บรรดาผู้ศรัทธาจะข้ามผ่านไปอย่างปลอดภัย แต่พวกเขาก็ยังแสวงหาความช่วยเหลือให้ปลอดภัยจากไฟนรก ขอสาบานต่อ (อัลลอฮ์) ผู้ที่ตัวของฉันอยู่ในอุ้งพระหัตของพระองค์ว่า จะไม่มีผู้ใดในหมู่พวกเจ้าหรอก ที่จะทนเฉยต่อเหตุการณ์นั้น นอกจากบรรดาผู้ศรัทธาจะดิ้นรนโอดครวญร้องขอต่ออัลลอฮ์ในวันกิยามะห์ เพื่อขอความช่วยเหลือให้แก่พี่น้องของพวกเขาในวันกิยามะห์ โดยพวกเขาจะกล่าวว่า องค์อภิบาลของเราเอ๋ย พวกเขาก็ถือศีลอดกับพวกเรา พวกเขาละหมาด,พวกเขาทำฮัจญ์ ดังนั้นจึงมีเสียงกล่าวแก่พวกเขาว่า พาคนที่พวกเจ้ารู้ออกไปซิ แล้วบรรดาผู้ที่พวกเขาร้องขอก็จะถูกกันออกจากไฟนรก โดยพวกเขาจะถูกเอาออกจากนรกเป็นจำนวนมาก ในสภาพที่ไฟนรกมันได้ลามเลียพวกเขาถึงครึ่งหน้าแข้ง จนถึงหัวเข่า

พวกเขากล่าวว่า องค์อภิบาลของพวกเราเอ๋ย ผู้ที่พระองค์ใช้ให้พวกเราพาเขาออกมานั้นไม่มีผู้ใดหลงเหลืออีกแล้ว พระองค์อัลลอฮ์จะกล่าวว่า จงกลับไปใหม่ แล้วดูซิว่า มีผู้ใดบ้างที่เจ้าพบว่าในหัวใจของพวกเขามีความดีเทียบเท่ากับหนึ่งดีนาร (เปรียบเทียบจำนวนเล็กน้อยเท่ากับน้ำหนักของดีนาร) ก็จงพาพวกเขาออกมา ดังนั้นจึงมีผู้คนจำนวนมากถูกพาออกมา

               หลังจากนั้นพวกเขาก็กล่าวว่า องค์อภิบาลของเราเอ๋ย ไม่เหลือผู้ใดที่พระองค์ใช้พวกเราให้เอาเขาออกมาหลงเหลืออยู่อีก พระองค์อัลลอฮ์จึงกล่าวแก่พวกเขาว่า พวกเจ้าจงกลับไปใหม่ แล้วดูซิว่า ผู้ใดที่พวกเจ้าพบว่าในหัวใจของพวกเขามีความดีเทียบเท่ากับครึ่งดีนาร ก็จงเอาพวกเขาออกมา ดังนั้นพวกเขาจึงถูกนำออกมาเป็นจำนวนมาก
               หลังจากนั้นพวกเขาก็กล่าวว่า องค์อภิบาลของเราเอ๋ย ไม่เหลือผู้ใดที่พระองค์ทรงใช้พวกเราให้เอาเขาออกมาหลงเหลืออยู่อีก พระองค์อัลลอฮ์ จึงกล่าวแก่พวกเขาว่า พวกเจ้าจงกลับไปใหม่ แล้วดูซิว่า ผู้ใดที่พวกเจ้าพบว่า ในหัวใจของพวกเขามีความดีสักเศษเสี้ยวหนึ่ง ก็จงพาพวกเขาออกมา แล้วพวกเขาก็ถูกพาออกมาเป็นจำนวนมาก แล้วพวกเขาก็กล่าวว่า โอ้องค์อภิบาลของเราเอ๋ย ไม่หลงเหลือผู้ใดที่มีความดีอยู่ในนรกอีกแล้ว
               อบูสะอี๊ด อัลคุดรีย์ กล่าวว่า หากพวกเจ้าไม่เชื่อฉันเกี่ยวกับฮะดีษบทนี้ละก็ พวกเจ้าก็จงอ่าน (อัลกุรอาน อายะห์ต่อไปนี้เถิด) หากพวกเจ้าประสงค์ แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ทรงอธรรม (ต่อผลงานของบ่าว) แม้เพียงน้ำหนักเท่าผงธุลี และถ้ามันเป็นสิ่งที่ดี พระองค์ก็จะทรงเพิ่มพูนความดีนั้นเป็นทวีคูณ และทรงให้แก่เขาจากที่พระองค์ซึ่งรางวัลอันใหญ่หลวง (ซูเราะห์อันนิซาอ์ อายะห์ที่ 40)  พระองค์อัลลอฮ์ ผู้ทรงเกียรติและสูงส่งได้กล่าวว่า บรรดามะลาอิกะห์ได้ซะฟาอะห์, บรรดานบีก็ได้ซะฟาอะห์, และบรรดาผู้ศรัทธาก็ได้ซะฟาอะห์ (ซะฟาอะห์คือการขอความช่วยเหลือ) จนไม่มีผู้ใดอีกแล้ว นอกจากผู้สุดแสนเมตตาจะกรุณา ดังนั้นจึงถูกจับมาขยุ้มหนึ่งจากไฟนรก ทำให้คนกลุ่มหนึ่งถูกนำออกมาด้วย ทั้งที่พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติความดีใดๆเลย ซึ่งพวกเขาอยู่ในสภาพดำเป็นตอตะโก แล้วพวกเขาก็ถูกโยนลงไปในแม่น้ำที่อยู่รอบนอกสวรรค์ กล่าวกันว่า มันคือแม่น้ำแห่งชีวิต ดังนั้นพวกเขาจึงงอกเงยออกมาดั่งเมล็ดพืชที่แตกหน่อข้างลำธาร พวกเจ้าเห็นไหม  เมล็ดพืชที่มันอยู่ซอกหินหรืออยู่ใกล้ต้นไม้ (มันจะมีสีแตกต่างกันออกไป)  เมื่อมันโดนแสงอาทิตย์มันจะออกสีเหลืองหรือไม่ก็ค่อนข้างเขียว ถ้ามันอยู่ในที่ร่มมันก็จะออกไปทางสีขาว พวกเขากล่าวว่า โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ์ ท่านพูดเหมือนกับว่าท่านเคยเลี้ยงแพะหรือแกะอยู่กลางทะเลทราย
               ท่านกล่าวต่อไปว่า พวกเขาจะถูกนำออกมาสดใสดั่งไข่มุก ที่รอบคอของพวกเขามีรอยผนึก ชาวสวรรค์จะรู้จักพวกเขาดีว่า พวกเขาคือบรรดาผู้ได้รับความกรุณาจากอัลลออ์ ซึ่งพวกเขาได้เข้าสวรรค์โดยไม่มีผลงานใดๆ หรือด้วยความดีใดๆ ที่นำเสนอไว้ก่อนแล้ว หลังจากนั้นพระองค์ก็จะกล่าวแก่พวกเขาว่า จงอยู่ในสวรรค์นี้ และสิ่งใดที่พวกเจ้าเห็นมันก็เป็นสิทธิ์กับพวกเจ้า พวกเขากล่าวว่า โอ้องค์อภิบาลของพวกเรา, พระองค์ทรงประทานให้แก่พวกเรามากมาย ซึ่งพระองค์มิได้ทรงให้แก่ผู้ใดในจักรวาลเลย  แล้วพระองค์ก็กล่าวแก่พวกเขาว่า ข้ายังมีสิ่งที่ดีกว่านี้ให้แก่พวกเจ้าอีก พวกเขาถามว่า ที่ดีกว่านี้มันคืออะไรหรือ องค์อภิบาลของพวกเราเอ๋ย   พระองค์ตอบว่า คือความพอใจของข้า โดยข้าจะไม่โกรธพวกเจ้านับแต่นี้ไป

 
 
   



ฮะดีษนี้มาจาก อ.ฟารีด เฟ็นดี้
http://www.fareedfendy.com

URL สำหรับเรื่องนี้คือ:
http://www.fareedfendy.com/modules.php?name=Sections2&op=viewarticle2&artid=492