ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 74


ثُمَّ قَسَتْ قُلُوْبُكُم مِّن بَعْدِ ذَلِكَ فَهِىَ كَالْحِجَارَةِ أوْ أشَدُّ قَسْوَةٌ وَإنَّ مِنَ الْحِجَارَةِ لَمَا يَتَفَجَّرُ مِنْهُ الأنْهَارُ وَإنَّ مِنْهَا لَمَا يَشَّقَّقُ فَيَخْرُجُ مِنْهُ الْمَاءُ وَإنَّ مِنْهَا لَمَا يَهْبِطُ مِنْ خَشْيَةِ اللهِ وَمَا اللهُ بِغَافِلٍ عَمَّا تَعْمَلُوْنَ


แล้วหัวใจของพวกเจ้าก็แข็งกระด้างหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว มันเป็นเช่นดังหิน หรือว่าแข็งกระด้างยิ่งกว่า เพราะแท้จริงส่วนหนึ่งของหินนั้น ยังมีธารน้ำพุ่งออกมาจากมัน และอีกส่วนหนึ่งของหินมันแยกออก โดยมีน้ำไหลออกมาจากมัน และอีกส่วนหนึ่งของหินก็พังทลายจากความเกรงกลัวอัลลอฮ์ และอัลลอฮ์นั้นมิได้เพิกเฉยต่อสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ



คดีฆาตกรรมเป็นเหตุทำให้บนีอิสรออีลแบ่งฝ่ายแล้วกล่าวหาซึ่งกันและกัน เมื่อพระองค์อัลลอฮ์ทรงบัญชาให้พวกเขาเชือดวัวแล้วเอาชิ้นส่วนของวัวนั้นไปตีที่ร่างผู้ตาย ทำให้เขาฟื้นขึ้นมาแล้วบอกว่า ใครคือฆาตกร ซึ่งพวกเขาได้รู้ ได้เห็นเหตุการณ์นี้ทั้งหมด

พระองค์อัลลอฮ์ทรงกล่าวว่า (แล้วหัวใจของพวกเจ้าก็แข็งกระด้างหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว) หมายถึงหลังจากฆาตกรตัวจริงได้ถูกเปิดเผยแล้ว และพวกเขาได้จำนนต่อหลักฐานแล้ว แต่ก็ยังยืนกรานปฏิเสธ

อิบนุ ญะรีร กล่าวว่า ถ้อยคำที่ว่า (หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว) คือหลังจากที่ผู้ตายได้ฟื้นขึ้นมาบอกความจริงแก่พวกเขาในขณะที่พวกเขากล่าวหากันเอง โดยบอกกับพวกเขาถึงฆาตกรและสาเหตุการสังหาร ดังที่เราได้สาธยายเรื่องนี้ไว้ก่อนหน้าด้วยรายงานต่างๆ และด้วยความโปรดปรานของอัลลอฮ์ที่ทำให้ได้รับรู้ว่า ใครคือผู้สัจจริงและใครคือผู้ที่กล่าวเท็จ
ดังเช่น มูฮัมหมัด บิน สะอ์ด เล่าให้ฉันฟังโดยกล่าวว่า พ่อของฉันเล่าให้ฉันฟังโดยกล่าวว่า ลุงของฉันเล่าให้ฉันฟังโดยกล่าวว่า พ่อของฉันเล่าให้ฉันฟังจาก พ่อของเขาจาก อิบนิ อับบาส กล่าวว่า : เมื่อผู้ตายถูกตีด้วยบางส่วนของมัน หมายถึงบางส่วนของวัว เขาก็ลุกขึ้นนั่งในสภาพที่มีชีวิตปกติ มีผู้ถามเขาว่า ผู้ใดเป็นผู้ที่ฆ่าท่าน ? เขาตอบว่า หลานชายของฉันเอง แล้วเขาก็ถูกจับกุม ในขณะที่ฆาตกรซึ่งเป็นหลานของผู้ตายถูกจับกุม เขากล่าวว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ พวกเราไม่ได้ฆ่าเขา โดยพวกเขาปฏิเสธความจริงหลังจากที่พวกเขาก็เห็นเหตุการณ์นี้ พระองค์อัลลอฮ์จึงได้กล่าวว่า แล้วหัวใจของพวกเขาก็แข็งกระด้างหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว
บิชร์ บิน มุอาซ เล่าให้เราฟังโดยกล่าวว่า ยะซีด เล่าให้เราฟังจาก สะอี๊ด จาก ก่อตาดะห์ ในข้อความที่ว่า “แล้วหัวใจของพวกเขาก็แข็งกระด้างหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว” เขากล่าวว่า หลังจากที่พระองค์อัลลอฮ์ทรงทำให้พวกเขาเห็นผู้ตายมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง และหลังจากทำให้พวกเขาเห็นเหตุการณ์ฆาตกรรม” ตัฟซีร อัตฏอบะรีย์ เล่มที่ 1 หน้าที่ 361-362

พระองค์อัลลอฮ์ทรงกล่าวว่า (มันเป็นเช่นดังหิน หรือว่าแข็งกระด้างยิ่งกว่า) คือหัวใจของพวกเขาที่ไม่ยอมรับความจริงแม้ว่าจะจำนนต่อหลักฐานนั้น อัลลอฮ์ทรงเปรียบว่ามันแข็งกระด้างดังหินหรือยิ่งกว่าหินเสียด้วยซ้ำไป

ข้อความในประโยคนี้มีคำว่า أو ซึ่งเป็นคำที่เชื่อมระหว่างสองข้อความ, ข้อความแรกให้ความหมายว่า “หัวใจของพวกเขาเป็นดังเช่นหิน” และข้อความที่สองให้ความหมายว่า “หัวใจของพวกเขาแข็งกระด้างยิ่งกว่าหิน” โดยมีคำ أو ซึ่งมีความหมายว่า “หรือว่า” เป็นคำเชื่อม
แต่คำว่า “หรือว่า” นี้ในทางภาษาโดยทั่วไปแล้ว เป็นคำที่แสดงถึงความสงสัย, ไม่แน่ใจ ดังนั้นนักภาษาบางท่านจึงให้ความหมายของคำนี้เช่นเดียวกับอักษร “วาว” ซึ่งมีความหมายว่า “และ” โดยความหมายครบประโยคคือ : หัวใจของพวกเขาเป็นเช่นหินและแข็งกระด้างยิ่งกว่า
และนักภาษาอีกส่วนหนึ่งก็ให้ความหมายของคำนี้เช่นเดียวกับคำว่า بل แปลว่า “แต่ทว่า” ดังนั้นความหมายครบประโยคก็คือ : หัวใจของพวกเขาเป็นเช่นหินแต่ทว่าแข็งกระด้างยิ่งกว่า
แต่ อิบนุ ญะรีร ได้สรุปในประเด็นนี้ว่า หัวใจของพวกเขาบางคนเป็นเช่นหิน และหัวใจของพวกเขาบางคนก็แข็งกระด้างยิ่งกว่าหิน วัลลอฮุอะอ์ลัม

ถ้อยคำที่ว่า (เพราะแท้จริงส่วนหนึ่งของหินนั้น ยังมีธารน้ำพุ่งออกมาจากมัน และอีกส่วนหนึ่งของหินมันแยกออก โดยมีน้ำไหลออกมาจากมัน) พระองค์อัลลอฮ์ทรงกล่าวประณามพฤติกรรมดื้อด้าน,เจ้าเล่ห์ และเนรคุณของบนีอิสรออีลว่า หัวใจของพวกเขาแข็งกระด้างประดุจดังหินหรือยิ่งกว่าหินเสียอีก เพราะหินนั้นถึงแม้ว่าจะแข็งปานใดตาม แต่ก็ยังถูกน้ำเซาะจนกระทั่งกลายเป็นธารน้ำ หรือถูกแรงดันของน้ำทำให้แตกออก แล้วน้ำก็ไหลพุ่งออกมา กลายเป็นธารน้ำหรือตาน้ำ

ถ้อยคำที่ว่า (และอีกส่วนหนึ่งของหินก็พังทลายจากความเกรงกลัวอัลลอฮ์) หินผาที่แข็งแกร่ง หรือภูเขาทั้งลูกยังต้องพังทลายลงเนื่องจากความเกรงกลัวอัลลอฮ์ ดังเช่นที่พระองค์ทรงกล่าวถึงเหตุการณ์ที่นบีมูซาขอเห็นพระองค์อัลลอฮ์ว่า

قَالَ رَبِّ أَرِنِي أنْظُرْإلَيْكَ قَالَ لَنْ تَرَانِي وَلَكِن انْظُرْ إلَى الْجَبَلِ فَإنِ اسْتَقَرَّ مَكَانَهُ فَسَوْفَ تَرَانِي فَلَمَّا تَجَلَّى رَبُّهُ لِلْجَبَلِ جَعَلَهُ دَكًّا وَخَرَّ مُوْسَى صَعِقاً فَلَمَّا أَفَاقَ قَالَ سُبْحَانَكَ تُبْتُ إلَيْكَ وَأنَا أوَّلُ الْمُؤْمِنِيْنَ

“มูซากล่าวว่า องค์อภิบาลของข้าเอ๋ย โปรดให้ข้าได้เห็นด้วยเถิด ข้าจะมองดูพระองค์ พระองค์กล่าวว่า เจ้าจะไม่ได้เห็นข้า แต่ทว่าเจ้าจงมองไปยังภูเขานี้ หากมันยังมั่นคงอยู่ในที่ของมันเจ้าก็จะได้เห็นข้า ครั้นเมื่อองค์อภิบาลของเขาได้ปรากฏ ณ.ที่ภูเขานั้น ก็ทำให้มันพังทลายอย่างราบเรียบ และมูซาก็ล้มลงหมดสติ แต่เมื่อเขารู้สึกตัว ก็กล่าวว่า มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ ข้าขอสำนึกผิดต่อพระองค์ และข้าเป็นผู้แรกในหมู่ผู้ศรัทธา” ซูเราะห์ อัลอะอ์รอฟ อายะห์ที่ 143

หรือพระองค์อัลลอฮ์ทรงกล่าวถึงการประทานอัลกุรอานว่า

لَوْ أنْزَلْنَا هَذاَ الْقُرْآنَ عَلَى جَبَلٍ لَرَأيْتَهُ خَاشِعاً مُتَصَدِّعاً مِنْ خَشْيَةِ اللهِ


“หากเราได้ประทานอัลกุรอานนี้ลงมาบนภูเขา เจ้าก็จะได้เห็นมันน้อมและแตกออกเป็นเสี่ยงๆ จากความกลัวอัลลอฮ์” ซูเราะห์ อัลฮัชร์ อายะห์ที่ 21

แต่หัวใจของบนีอิสรออีลนั้นหยาบกระด้างยิ่งกว่า ด้วยการที่พวกเขาได้เห็นสัจธรรมแล้วแต่ไม่น้อมรับ

ถ้อยคำที่ว่า (และอัลลอฮ์นั้นมิได้เพิกเฉยต่อสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ) คือการที่เหล่าบนีอิสรออีลไม่ว่าจะเป็นนักพรต,บาทหลวงหรือสามัญชนในหมู่พวกเขาที่ปฏิเสธสัจธรรม และยืนกรานในความเท็จ, เป็นพยานเท็จและปรักปรำผู้บริสุทธิ์ ทั้งหมดล้วนมีบัญชี ณ.ที่พระองค์อัลลอฮ์ทั้งสิ้น พระองค์อาจจะลงโทษเขาในดุนยา หรือปล่อยให้พวกเขาร่าเริงอยู่กับความเท็จนั้นต่อไป โดยที่พระองค์ไม่ทรงหลงลืมการกระทำของพวกเขา และแน่นอนว่า พวกเขาจะต้องเผชิญกับการลงโทษอันเจ็บปวดในวันอาคิเราะห์